Page 204 - 22385_Fulltext
P. 204

การศึกษาการบังคับใช้                     การศึกษาการบังคับใช้
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย   พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



   อนึ่ง ผู้ให้สัมภาษณ์ในภาคประชาสังคมบางคนเห็นว่าเป้าหมาย  ด้วยสาเหตุหลากหลายประการ กล่าวคือ
 หลักและกรอบการทำงานของรัฐน่าจะขับเน้นไปที่การทำความเข้าใจกับ     1.1) ภาครัฐให้น้ำหนักกับ “การรับเรื่องร้องเรียน” และ
 หน่วยงานภาครัฐด้วยกันเอง จึงไม่ได้เต็มที่กับส่วนของการสร้างความรับรู้    การวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติผ่านกลไกคณะกรรมการ วลพ. มากกว่าการแก้ไข
 ของสังคม แต่อย่างน้อยที่สุดกฎหมายฉบับนี้ก็ช่วยทำให้คนที่รู้ว่ามีกฎหมาย  ปัญหาในระดับโครงสร้าง ทั้งที่ก่อนปี พ.ศ. 2558 นักวิชาการและ

 แล้วได้ตระหนักในสิทธิและความหลากหลายทางเพศของผู้อื่นมากขึ้น ทั้งคอย  ภาคประชาสังคมที่ร่วมกันผลักดันกฎหมายต่างมุ่งหวังให้กฎหมายฉบับนี้
 ระมัดระวังไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ หรือถ้าเป็นหน่วยงาน   เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความเสมอภาคเป็นหลัก ซึ่งต่อมากฎหมาย

 สถาบันการศึกษา หรือองค์กรภาครัฐการมีอยู่ของกฎหมายฉบับนี้ก็อาจมีส่วน  กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่และบทบาทของคณะกรรมการ สทพ.
 ช่วยทำให้เกิดการปรับตัวมากกว่า เช่น คณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัย    (มาตรา 10) เนื่องจากเป็นช่องทางในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
 แห่งหนึ่งแก้ระเบียบการแต่งกายรับปริญญาหลังจากรู้ว่ามีกฎหมายฉบับนี้   โครงสร้าง และกฎหมายอื่น ๆ  ในภาพรวม ซึ่งจะนำไปสู่ความเสมอภาค
 เป็นต้น นอกจากนี้ การมีกฎหมายยังน่าจะเห็นเหตุที่ทำให้สื่อมวลชน    และช่วยลดการเลือกปฏิบัติในสังคมได้อย่างยั่งยืน เมื่อการขับเน้นของภาครัฐ

 สำนักต่าง ๆ เริ่มหันมาให้ความสนใจจับประเด็นนี้มากขึ้น มีการทำข่าว     อยู่ที่การทำงานของคณะกรรมการ วลพ. ในช่วงเวลาที่ผ่านมาสถานการณ์
 ทำสกรูปหรือกิจกรรม ซึ่งย่อมทำให้คนในสังคมตระหนักรู้ได้อีกทางหนึ่ง
                   การเลือกปฏิบัติในประเทศไทยจึงถูกแก้ไขเป็นการเฉพาะเรื่องเฉพาะ
   2.4  มุมมองต่อบทบาท การดำเนินงานและสภาพปัญหา  รายเท่านั้นผ่านคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. หาได้สร้าง

 ของกลไกหลักที่กฎหมายฉบับนี้สร้างขึ้น     ความเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญหรืออย่างเป็นมหภาคไม่ เนื่องจาก
                   ตามกฎหมายแล้วคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ วลพ. มีผลผูกพันเฉพาะ
   (1)  คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.)
                   คู่กรณีเท่านั้น มิได้ส่งผลต่อกฎหรือระเบียบที่มีปัญหาทำนองเดียวกันของ
     ผู้ให้สัมภาษณ์ในทุกกลุ่มมีความคิดเห็นสอดคล้องไปในทาง  หน่วยงานอื่น ๆ  ปัญหานี้ถูกสะท้อนให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเรื่อง
 เดียวกันว่า แม้ตามกฎหมายแล้วคณะกรรมการ สทพ. นับเป็นกลไก    ที่ถูกร้องเรียนมายังคณะกรรมการ วลพ. เพราะจำนวนมากเป็นการร้องเรียน
 ที่กฎหมายเขียนให้อำนาจหน้าที่ไว้ค่อนข้างมาก อีกทั้งมีความสำคัญต่อ    ในเรื่องเดิมหรือมีประเด็นเดียวกันกับเรื่องที่คณะกรรมการ วลพ. เคยวินิจฉัย
 การสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย และการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้    ไปแล้ว ซึ่งย่อมหมายความว่าแม้คณะกรรมการ วลพ. จะเคยชี้ไว้แล้วว่ากฎ

 ในเชิงโครงสร้างได้มากที่สุด แต่ในช่วงระยะเวลา 5 ปีของการบังคับใช้   หรือระเบียบนั้นไม่เป็นธรรมหรือเข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติ แต่กฎระเบียบ
 พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ คณะกรรมการ สทพ. กลับมีบทบาทหรือทำหน้าที่  ในลักษณะเดียวกันนี้ก็ยังคงใช้อยู่และทำหน้าที่เลือกปฏิบัติต่อไปในหน่วยงาน

 น้อยที่สุดในบรรดาสามกลไกที่กฎหมายกำหนดขึ้น ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่ง   หรือองค์กรอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยถูกร้องเรียนเข้ามา ซึ่งปัญหาลักษณะนี้ควรยุติ
 ที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถบรรลุตามเจตนารมณ์และสถานการณ์    หรือบรรเทาลงได้ด้วยการดำเนินการภายในกรอบอำนาจหน้าที่ของ
 การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง ทั้งนี้     คณะกรรมการ สทพ. (ดูมาตรา 10 (2) และ (4)) อันเป็นการแก้ไขปัญหา



 188  สถาบันพระปกเกล้า                                            สถาบันพระปกเกล้า   189
   199   200   201   202   203   204   205   206   207   208   209