Page 63 - kpiebook65024
P. 63
62 ประเด็นส�ำคัญที่พึงมีในรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย
2) พระร�ชอำ�น�จในก�รยับยั้งร่�งกฎหม�ย พระราชอ�านาจในส่วนนี้
หากพิจารณาเพียงผิวเผินก็ดูเหมือนจะขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งวาง
หลักการว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีน�าร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว
หากพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบกับร่างกฎหมายดังกล่าวแล้วพระราชทาน
คืนมา หรือล้วงพ้น 90 วันแล้วมิได้ทรงพระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษา
ร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า
สองในสามของจ�านวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรี
น�าร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพระมหากษัตริย์
มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วัน ให้นายกรัฐมนตรีน�า
พระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่า
พระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว (รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 146)
เมื่ออ่านบทบัญญัติดังกล่าวแล้วย่อมเข้าใจจากลายลักษณ์อักษรได้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติและ
ฝ่ายบริหารมีอ�านาจที่จะท�าให้ร่างกฎหมายใด ๆ ที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบนั้น
สามารถใช้บังคับได้ แต่ในประเพณีการปกครองของประเทศไทย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่
พระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอ�านาจยับยั้งร่างกฎหมายโดยการไม่ลงพระปรมาภิไธย
ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะปฏิบัติตามโดยการแก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายนั้น
เสียใหม่ หรือไม่น�าร่างกฎหมายนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ อีก ซึ่งโดยปกติแล้วพระมหากษัตริย์
จะทรงหลีกเลี่ยงที่จะใช้พระราชอ�านาจนี้ เว้นแต่ในกรณีที่มีพระบรมราชวินิจฉัยว่า
เป็นความจ�าเป็นจริง ๆ (มานิต จุมปา, 2553) เช่น การใช้พระราชอ�านาจยับยั้ง
ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 โดยประเด็นหนึ่งที่ทรงแสดง
ความไม่เห็นด้วยคือ การที่กฎหมายก�าหนดให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนอง
พระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ด้วยทรงเห็นว่า องคมนตรีเป็นผู้ที่