Page 46 - kpiebook66015
P. 46

5.2 ข้อเสนอแนะ

                        จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ผู้เขียนมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพใน
               การตรวจสอบถ่วงดุลของฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติในระบบรัฐสภาในประเทศไทย ดังนี้

                        1) ประเด็นเกี่ยวกับการให้รัฐมนตรีสามารถด ารงต าแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเวลาเดียวกันได้


                        ผู้เขียนเห็นด้วยกับนักวิชาการหลายท่านที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่า ควรจะก าหนดให้สมาชิกสภาผู้แทน
               ราษฎรที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีจะต้องพ้นจากต าแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้เกิดการตรวจสอบ

               ถ่วงดุลได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากการให้คนหนึ่งคนด ารงต าแหน่งได้สองต าแหน่งในคราวเดียวกัน และยังเป็น
               ต าแหน่งที่จะต้องท าหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ก็จะท าให้เกิดค าถามว่าจะสามารถตรวจสอบ
               ถ่วงดุลในความเป็นจริงได้หรือไม่


                        ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอเสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 โดยเพิ่ม
               เป็นมาตรา 101 (7/1) ให้มีข้อความว่า “ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี” ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับ

               ที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 118 (7)

                        2) ประเด็นเกี่ยวกับอ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการ


                        อ านาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา ถือว่าเป็นกลไกในการตรวจสอบ
               ถ่วงดุลที่มีความส าคัญเพราะท าให้ผู้ที่ถูกเรียกจะต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงที่เป็นที่สงสัยให้ประชาชนรับทราบ แต่

               ในเมื่อค าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2563 มีผลให้อ านาจในการออกค าสั่งเรียก และการก าหนดโทษทาง
               อาญาของผู้ที่ฝ่าฝืนนั้นต้องถูกยกเลิกไป ก็เท่ากับว่าท าให้คณะกรรมาธิการนั้นไม่มีอ านาจดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้เขียน

               เห็นว่าควรแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คณะกรรมาธิการสามารถมีอ านาจในการ
               ตรวจสอบและมีอ านาจในการออกค าสั่งเรียกเพื่อประโยชน์ในการแสวงหาข้อเท็จจริงดังเดิม

                        ในส่วนนี้ ผู้เขียนจึงขอเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 129 วรรคสี่ โดยเพิ่ม

               ข้อความว่า “...และให้ค าสั่งเรียกดังกล่าวมีผลบังคับตามที่กฎหมายบัญญัติ” ซึ่งเป็นข้อความเดียวกับที่ปรากฏ
               ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 135 วรรคสอง และจะท าให้รัฐธรรมนูญแห่ง

               ราชอาณาจักรไทย มาตรา 129 วรรคสี่ มีข้อความว่า

                        “คณะกรรมำธิกำรตำมวรรคหนึ่งมีอ ำนำจเรียกเอกสำรจำกบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมำแถลง

               ข้อเท็จจริงหรือแสดงควำมเห็นในกิจกำรที่กระท ำหรือในเรื่องที่พิจำรณำสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำอยู่นั้นได้
               และให้ค าสั่งเรียกดังกล่าวมีผลบังคับตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่กำรเรียกเช่นว่ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำ

               หรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจในกระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำน
               บุคคลของแต่ละศำล และมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ด ำรงต ำแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่
               และอ ำนำจโดยตรงในแต่ละองค์กรตำมบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือตำมพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ

               แล้วแต่กรณี”









      45
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50