Page 11 - kpiebook66015
P. 11
จนเสมือนว่าได้เกิดการสร้างระบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidentialism) ขึ้นในหลายประเทศ และแต่ละ
ประเทศก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการเมืองของประเทศตน
จากนั้นในบทนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงระบบรัฐสภาในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นต้นแบบของระบบรัฐสภา
ในประเทศไทย ซึ่งจะท าให้เห็นมุมมองต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อ านาจที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ แม้ว่า
ประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะยึดถือหลักดังกล่าว และเชื่อว่าการแบ่งแยกการใช้อ านาจนิติ
บัญญัติ บริหาร และตุลาการไปไว้กับองค์กรที่ต่างกันจะท าให้เกิดการใช้อ านาจในลักษณะที่เป็นการใช้
“อ านาจยับยั้งอ านาจ” ซึ่งจะป้องกันไม่ให้เกิดการใช้อ านาจตามอ าเภอใจจนก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพ
ของประชาชนก็ตาม แต่ก็ไม่มีประเทศใดปรับใช้ทฤษฎีดังกล่าวในลักษณะของทฤษฎีบริสุทธิ์ (Pure Theory)
แต่ก็มีการปรับหลักดังกล่าวให้เหมาะสมกับบริบททางการเมืองของตนทั้งสิ้น โดยการชี้ให้เห็นถึงลักษณะระบบ
รัฐสภาของประเทศอังกฤษที่เป็นต้นแบบของระบบรัฐสภาในประเทศไทย กับทฤษฎีดังกล่าว จะท าให้เห็น
มุมมองต่อการตีความทฤษฎีดังกล่าว และการปรับใช้ที่มากยิ่งขึ้น
บทที่ 3 : จะเป็นการกล่าวถึงระบบรัฐสภาในประเทศไทยที่เคยบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการก าหนดกลไกของระบบรัฐสภาที่ส่งผลต่อการตรวจสอบถ่วงดุล
ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร โดยจะชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้
ก าหนดมาตลอดว่าต้องให้ประมุขของฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรี) มาจากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมองในมุมหนึ่ง
ก็คือ เมื่อฝ่ายบริหารมาจากฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารจึงต้องอยู่ได้ด้วยความไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติ และ
ฝ่ายนิติบัญญัติมีอ านาจควบคุมการบริหาราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย
และการขออภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ในขณะเดียวกัน การก าหนดที่มาของฝ่ายบริหารดังกล่าวก็เท่ากับว่าฝ่าย
บริหารกับเสียงข้างมากของรัฐสภาเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งก่อให้เกิดค าถามได้ว่า จะสามารถตรวจสอบถ่วงดุลหรือ
ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินในความเป็นจริงได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุธศักราช 2517 ได้เกิดแนวคิด
ในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมือง เพื่อให้พรรคการเมืองมีลักษณะเป็นสถาบันทางการเมืองที่
ชัดเจนยิ่งขึ้น และกลายเป็นสถาบันทางการเมือง “ตั้งต้น” ที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างประชาชนกับสถาบันที่ใช้
อ านาจทางการเมืองอย่างรัฐสภา จึงได้เกิดการบัญญัติให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดพรรคการเมือง
จึงจะสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 การจัดตั้งรัฐบาลในประเทศไทยจะมีลักษณะเป็นรัฐบาลผสม จึงไม่ค่อยเกิดค าถามเกี่ยวกับ
การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ แต่จะมีปัญหาเกี่ยวกับความมี
เสถียรภาพของรัฐบาลเป็นส าคัญ กล่าวคือ รัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมักไม่อยู่จนครบวาระที่รัฐธรรมนูญ
ก าหนด ด้วยเหตุนี้ โจทย์เกี่ยวกับการสร้างความมีเสถียรภาพของรัฐบาลซึ่งเชื่อว่าจะน าไปสู่การสร้าง
เสถียรภาพทางการเมืองจึงกลายเป็นสิ่งส าคัญ การยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540 จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างระบบรัฐสภาและสร้างกลไกที่จะท าให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและได้น าหลักการบาง
ประการของรัฐธรรมนูญประเทศฝรั่งเศสฉบับสาธารณรัฐที่ 5 (ค.ศ. 1958) มาปรับใช้ นั่นคือ การก าหนดให้
รัฐมนตรีจะต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ส่วนบทบัญญัติที่ก าหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้อง
สังกัดพรรคนั้น ยังคงไว้ตามเดิม
10