Page 370 - kpi17968
P. 370
359
การวิพากษ์วิจารณ์และโต้แย้งข้างต้นถูกขยายวงกว้างสู่สังคม ทำให้เกิด
ความสงสัยและไม่เชื่อมั่นในหลักนิติธรรมของสังคมไทย ซึ่งคงปฏิเสธมิให้มีผลต่อ
เนื่องไปถึงความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองและกระบวนการยุติธรรมโดยรวม
ทั้งหมดไม่ได้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฝ่ายที่ถูกตรวจสอบและสังคมส่วนหนึ่งรู้สึกว่า
เป็น “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” หากปล่อยทิ้งไว้มีแต่จะทำให้ปัญหาความขัดแย้ง
ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และอาจทำให้เกิดเป็นข้อขัดแย้งใหม่ขึ้นมาอีก กระบวนการ
สร้างความปรองดองในสังคมไทยจึงไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ หากไม่มีการ
แก้ไขอุปสรรคสำคัญในเรื่องนี้ให้หมดสิ้นไป และส่งเสริมให้หลักนิติธรรมใน
สังคมไทยเกิดขึ้นอย่างแท้จริงเสียก่อน
เมื่อพิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ประกอบกับ
ทางปฏิบัติที่เกิดจากการปรับใช้รัฐธรรมนูญแล้ว จะเห็นได้ว่าสังคมไทยยังห่างไกล
จากความเป็นนิติธรรมมากนัก แม้มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญจะประกาศยอมรับ
หลักการแบ่งแยกอำนาจ แต่หลักการดังกล่าวก็ได้ถูกทำลายลงในมาตรา 239
ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจวินิจฉัยเพิกถอน
สิทธิเลือกตั้งของบุคคลก่อนประกาศผลการเลือกตั้งและให้คำวินิจฉัยนั้นเป็นที่สุด
ซึ่งเท่ากับให้อำนาจองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งเป็นศาลได้ใน
ตัวเอง แม้รัฐธรรมนูญจะยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลใน หมวด 3 แต่ก็
ทำลายหลักการประกันสิทธิทางการเมืองของบุคคลในมาตรา 237 ที่กำหนดการ
ให้การกระทำความผิดของบุคคลคนเดียวนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองทั้งพรรค
และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลที่เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย แม้บุคคล
นั้นจะไม่ได้กระทำความผิดก็ตาม
แม้มาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญจะประกาศหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของ
รัฐธรรมนูญ แต่หลักการดังกล่าวก็ถูกทำลายลงในมาตรา 309 เพราะตาม
บทบัญญัติมาตราดังกล่าวการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำที่ได้รับรองไว้ใน
รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แม้จะกระทำต่อไปในอนาคต ก็ได้รับการรับรองไว้ล่วง
หน้าแล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มิพักต้องคำนึงว่าการกระทำนั้นจะชอบด้วย
รัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อพิจารณาในทางนิติศาสตร์แล้ว รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขัดแย้งกันเองมากที่สุดฉบับหนึ่ง
การประชุมกลุมยอยที่ 3