Page 3 - kpiebook62011
P. 3
คำนำ
ตั้งแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
เป็นต้นมา สิทธิในทรัพย์สินของเอกชนก็ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีเพื่อประโยชน์สาธารณะ รัฐอาจใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อจำกัดหรือ
ลบล้างสิทธิในทรัพย์สินของเอกชนได้ ซึ่งการ “เวนคืน” ทรัพย์สินของเอกชนก็เป็น
รูปแบบหนึ่งของการใช้อำนาจดังกล่าวของรัฐ โดยการใช้อำนาจดังกล่าวของรัฐ
จะต้องคำนึงถึงความได้สัดส่วนและความสมดุล กล่าวคือ การใช้อำนาจเวนคืนของรัฐ
จะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะมากที่สุด และกระทบกระเทือนต่อสิทธิของเอกชน
ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ถูกเวนคืนนั้นน้อยที่สุด
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ก็บัญญัติรับรอง
สิทธิในทรัพย์สิน และบัญญัติเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้ในมาตรา 37 วรรคสอง
ว่า “การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือ
การได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น และต้องชดใช้
ค่าทดแทนที่เป็นธรรมภายในระยะเวลาอันควรแก่เจ้าของตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดา
ที่ได้รับความเสียหายจากการเวนคืน....” ซึ่งกฎหมายที่รัฐธรรมนูญกล่าวถึง ก็คือ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 อันเป็นกฎหมายที่กำหนด
ขั้นตอน กระบวนการ และรูปแบบในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนกำหนดหลัก
เกณฑ์ในการจ่ายเงินค่าทดแทนแก่ผู้ถูกเวนคืนด้วย อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับดังกล่าว
นั้นบังคับใช้มาเป็นเวลานาน และมีบทบัญญัติบางประการที่ล้าสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การคำนวณและจ่ายค่าทดแทนซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจุบัน
ซึ่งสำนักส่งเสริมวิชาการรัฐสภา สถาบันพระปกเกล้า ในฐานะสถาบันทางวิชาการ
ซึ่งมีพันธกิจในการสนับสนุนงานวิชาการของรัฐสภา ได้ตระหนักถึงความสำคัญของ
การปรับปรุงและพัฒนากฎหมาย ซึ่งสำนักส่งเสริมวิชาการรัฐสภาจึงจัดให้มี ดังนั้น การ
ศึกษางานวิจัย เรื่อง “พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530”
ตามโครงการวิเคราะห์กฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ โดยได้ศึกษาวิเคราะห์การบังคับใช้
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ว่ามีปัญหาประการใด และ
ควรจะมีการปรับแก้กฎหมายดังกล่าวไปในทิศทางใดเพื่อให้การบังคับใช้สอดคล้องกับ
สภาพสังคมในปัจจุบัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ
การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวกับการเวนคืน วงวิชาการ และผู้สนใจทั่วไป
สำนักส่งเสริมวิชาการรัฐสภา
สถาบันพระปกเกล้า