Page 156 - kpi18886
P. 156
148
เน้นตัวบุคคล สิ่งที่นักการเมืองจะทำก็คือกว้านซื้อ สส. หน้าเก่ามาอยู่ในพรรค
สส. ที่จะมีโอกาสเข้ามานั่งในสภาได้ก็คือบุคคลที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว มีฐานคะแนน
อยู่แล้ว หรือยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือใช้เงินในการซื้อเสียงจะมากขึ้นเพราะไม่มีระบบ
บัญชีรายชื่ออีกต่อไปแล้ว
ประเด็นที่ 2 ความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับพรรคการเมืองจะหายไป
ปรากฏการณ์ที่ทำให้ประชาชนคนไทยรู้สึกมีประสิทธิภาพทางการเมือง (political
efficacy) เกิดขึ้นคือการเลือกตั้ง พ.ศ. 2535 2538 2539 ช่วงที่นายกรัฐมนตรี
มาจากการเลือกตั้ง ประชาชนรู้สึกว่าบัตรที่เลือกลงไปเป็นคะแนนที่เลือกผู้นำ
ประเทศ นั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของประสิทธิภาพทางการเมืองว่าเราเป็นคนกำหนด
ผู้นำประเทศ แต่ระบบเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 นี้จะไม่รู้เลยว่า
เลือกไปแล้วใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะต้องใช้เวลา และเชื่อว่าใช้เวลาอย่าง
น้อยประมาณ เดือน หรือ 2 เดือน ที่จะจัดตั้งรัฐบาลที่จะโหวตกันในสภารวมถึง
วุฒิสมาชิกซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่มาจากการแต่งตั้ง
ของ คสช. จะเป็นคนมาโหวตร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่าใครจะเป็น
นายกรัฐมนตรี ดังนั้น ประชาชนจะรู้สึกว่าเลือกไปทำไมเลือกไปก็เท่านั้น ประเด็น
ต่อมาคือการนับคะแนนที่จะแปลงคะแนนจาก สส.เขต ให้เป็น สส. บัญชีรายชื่อ
เป็นปัญหาเพราะคะแนน สส. บัญชีรายชื่อจะผูกโยงอยู่กับคะแนนของ สส.เขต
ที่นี้ถ้าหาก กกต. ใช้สิทธิใบเหลืองใบแดง สส. บางคนที่ได้รับเลือกตั้งมาแล้ว
ถูกใบแดง คะแนนที่แปลงจาก สส. เขตมาเป็น สส.บัญชีรายชื่อจำนวน 150 คน
นั้นก็จะถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ดังนั้น การนับคะแนนครั้งนี้อาจไม่มีที่สิ้นสุดเพราะรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า
อำนาจในการให้ใบเหลืองใบแดงของ กกต. ไม่จบสิ้น ไม่ได้เหมือนรัฐธรรมนูญ
ฉบับที่ผ่านมาซึ่งกำหนดระยะเวลาไว้ตายตัว จำนวนตัวบุคคลที่จะเข้ามานั่งในสภา
จึงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อิทธิพลของพรรคใหญ่ถูกลดลงไปจริงแต่กลับเป็น
ระบบที่ เรียกว่า โบนัสคือการเอาคะแนนส่วนต่างนั้นไปให้กับพรรคขนาดกลาง
ซึ่งได้เปรียบในแง่กลไก การนำระบบเลือกตั้งที่มองว่าเป็นเทคนิคการเลือกตั้ง
เพื่อลดอิทธิพลของพรรคใหญ่มาใช้ จะไม่ได้ช่วยให้เกิดการกระจายตัวแทนเข้าไป
ในกลุ่มของพรรคการเมือง ตัวแทนที่ต้องการให้มีมากขึ้นในระบบการเมืองอย่าง
การอภิปรายแสดงทัศนะ