Page 33 - kpiebook66015
P. 33

ในกำรออกค ำสั่งเรียกตำมวรรคหนึ่ง คณะกรรมาธิการต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่ง

               หนึ่งของจ านวนกรรมาธิการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่

                        ค ำสั่งเรียกตำมวรรคหนึ่งต้องระบุเหตุแห่งกำรเรียก ประเด็นข้อซักถำมที่เกี่ยวข้องตำมสมควรและ
               โทษของกำรฝ่ำฝืนค ำสั่งเรียก”


                        ยิ่งกว่านั้น ในกรณีที่ผู้ได้รับค าสั่งเรียกไม่มาตามค าสั่งเรียก กฎหมายฉบับเดียวกันได้บัญญัติให้ต้องมี
               โทษทางอาญา และมีความผิดทางวินัยด้วย โดยบัญญัติในมาตรา 13 ดังนี้


                        “ผู้ใดฝ่ำฝืนหรือไม่ปฏิบัติตำมมำตรำ ๘ ต้องระวำงโทษจ ำคุกไม่เกินสำมเดือนหรือปรับไม่เกินห้ำพัน
               บำท หรือทั้งจ ำทั้งปรับ


                        ถ้ำผู้กระท ำควำมผิดตำมวรรคหนึ่งเป็นข้ำรำชกำร พนักงำน หรือลูกจ้ำงของหน่วยรำชกำรหน่วยงำน
               ของรัฐ รัฐวิสำหกิจ หรือรำชกำรส่วนท้องถิ่น ให้ถือว่ำเป็นควำมผิดทำงวินัยด้วย”

                        อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ขึ้น และ

               ได้มีการก าหนดประเด็นเกี่ยวกับการใช้อ านาจแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการในรัฐสภาไว้เช่นกัน
               แต่ในมาตรา 129 ที่ได้บัญญัติเรื่องดังกล่าวนั้น ได้บัญญัติในลักษณะที่แตกต่างกัน ดังนี้


                        “ในกำรสอบหำข้อเท็จจริง คณะกรรมำธิกำรจะมอบอ ำนำจหรือมอบหมำยให้บุคคลหรือคณะบุคคล
               ใดกระท ำกำรแทนมิได้


                        คณะกรรมาธิการตามวรรคหนึ่งมีอ านาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลง
               ข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระท าหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่

               นั้นได้ แต่กำรเรียกเช่นว่ำนั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำรที่ปฏิบัติตำมหน้ำที่หรือใช้อ ำนำจใน
               กระบวนวิธีพิจำรณำพิพำกษำอรรถคดี หรือกำรบริหำรงำนบุคคลของแต่ละศำล และมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ด ำรง
               ต ำแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับกำรปฏิบัติตำมหน้ำที่และอ ำนำจโดยตรงในแต่ละองค์กรตำม

               บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือตำมพระรำชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี

                        ให้เป็นหน้ำที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจกำรที่คณะกรรมำธิกำรสอบหำข้อเท็จจริงหรือศึกษำที่

               จะต้องสั่งกำรให้เจ้ำหน้ำที่ของรัฐในสังกัดหรือในก ำกับ ให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสำร หรือแสดงควำมเห็นตำมที่
               คณะกรรมำธิกำรเรียก”


                         เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้บัญญัติถึงอ านาจในการออกค าสั่งเรียกของ
               คณะกรรมาธิการในลักษณะที่แตกต่างจากการบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

               อันเป็นบทบัญญัติแม่บทที่มาของพระราชบัญญัติค าสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและ
               วุฒิสภา พ.ศ. 2554 แล้ว จึงได้มีการน าประเด็นเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติที่ก าหนด
               มาตรการและก าหนดโทษดังกล่าวขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ


                        ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีค าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 17/2563 ซึ่งวินิจฉัยว่าบทบัญญัติมาตรา 5
               มาตรา 8 และมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติค าสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและ





                                                                                                            32
   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38