Page 110 - kpi18886
P. 110
102
เมื่อศึกษากลับไปก่อนปี ค.ศ. 1974 พบว่าในช่วงทศวรรษ 1960 รัฐบาล
มีแนวคิดพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและต้องการเข้าร่วมกับสหภาพยุโรป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานาธิบดี โอเดเวล เดอซาลาซ่า ซึ่งพยายามจะสร้าง
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยการเข้าร่วมกับสหภาพยุโรป ซึ่งนำไปสู่การลงนาม
ในเรื่องของข้อตกลงทางการค้าใน ค.ศ. 1972 ก่อนรัฐประหาร ความสัมพันธ์
ระหว่างประเทศของโปรตุเกสและสหภาพยุโรปพัฒนาขึ้นและส่งผลดี ซึ่งในช่วง
1960-1970 นั้น เรียกว่าเป็นประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (European Economic
Community-EEC) ยังไม่ใช่สหภาพยุโรป ในแง่ของข้อเสนอของการเข้าร่วม
ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปคือเรื่องการผนึกกำลังด้านประชาธิปไตยหรือ
ความสัมพันธ์ของการมีประชาธิปไตย ดังนั้นใน ค.ศ. 2017 คือปีนี้ เท่ากับเรา
เฉลิมฉลองให้กับ 60 ปี ของการลงนามในสนธิสัญญาที่เข้าร่วมในสหภาพยุโรป
ซึ่งประเทศไหนในยุโรปก็สามารถเข้าร่วมได้ซึ่งสนธิสัญญาไม่ระบุรายละเอียดว่าจะ
ต้องทำอะไรบ้าง แต่มีเอกสารทางการเมืองที่ระบุรายละเอียดเน้นเรื่องความเป็น
ประชาธิปไตยที่นับเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วม กล่าวคือการเป็นสมาชิก EU
จะต้อง 1) อยู่ในทวีปยุโรป 2) มีศักยภาพที่จะเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจและ
3) ต้องมีระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย รัฐที่ต้องการเป็นสมาชิก EU
จะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพมนุษยชน และ ต้องมีรัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
ค.ศ. 1993 ระบุรายละเอียดเพิ่มขึ้นว่าประเทศสมาชิกจะต้องมีความมั่นคงทาง
สถาบันประชาธิปไตย ต้องมีหลักนิติธรรม ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน เคารพสิทธิ
และคุ้มครองชนกลุ่มน้อยด้วย ในด้านการตลาดจะต้องมีเศรษฐกิจที่พร้อมที่จะเข้า
ร่วมในนโยบายการเงินการคลังของสหภาพยุโรปด้วย ซึ่งใน ค.ศ. 1995 ระบุว่า
จะต้องมีศักยภาพเชิงสถาบันที่จะสามารถดำเนินการตามกฎระเบียบต่างๆ ของ
สหภาพยุโรปได้
สำหรับโปรตุเกส ในช่วงทศวรรษ 1960 กับ 1970 นอกจากโปรตุเกส
เข้าเกณฑ์เพียงเรื่องของการเป็นประเทศที่อยู่ในยุโรปเท่านั้น นอกนั้นสอบตก
เกณฑ์ที่ยุโรปกำหนดไว้ทั้งหมด กระนั้นก็เป็นช่วงเริ่มต้นของการเข้าสู่ EEC
โดยโปรตุเกสให้ความมุ่งมั่นและสร้างความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก
ยังไม่ได้คำนึงถึงระบอบการปกครอง
การอภิปรายรวมระหวางผูแทนจากตางประเทศ