Page 111 - kpi18886
P. 111
103
หลังจากเดือนเมษายน ค.ศ. 1974 ที่มีการรัฐประหารก็เริ่มมีการถามกันว่า
ทางเลือกของนโยบายต่างประเทศควรจะเป็นอย่างไร โปรตุเกสเริ่มกระบวนการ
ปรับเป็นประชาธิปไตยในเชิงสถาบันต่างๆ ซึ่งใช้เวลา 2 ปี กว่าที่จะมีรัฐบาล
เลือกตั้ง โดยได้รับการเลือกตั้งขึ้นมาใน ค.ศ. 1976 หลังจากเปลี่ยนผ่านอยู่ 2 ปี
แต่ก็ยังไม่ชัดเจนเรื่องนโยบายภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีการให้ความ
สำคัญอยู่ 3 ช่วง คือ เรื่องของการปกครองที่จะจัดตั้งขึ้นภายในประเทศ
การเข้าไปสู่การเป็นสมาชิกยุโรป ซึ่งด้านนโยบายต่างประเทศมีความเห็น
แตกต่างกันระหว่างฝ่ายพรรคการเมือง ศาสนจักร และบ้างเห็นว่าประเทศ
จะอยู่ยากให้โดดเดี่ยวไปเลย แต่บางส่วนเห็นว่าควรเข้าไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มี
พรรคคอมมิวนิสต์ นอกจากนั้นก็ยังมีการเน้นในเรื่องของความสัมพันธ์ข้าม
มหาสมุทรแอตแลนติคกับบราซิล ระหว่าง ค.ศ. 1974-1976 สถานการณ์ค่อนข้าง
เปราะบางในโปรตุเกส ซึ่งทำให้ผู้นำได้มีการพูดคุยกัน รัฐบาลชั่วคราวชุดแรก
มีความตั้งใจที่จะผนึกกำลัง ผนึกความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป แต่รัฐบาลชั่วคราว
ชุดที่ 2 ซึ่งนำโดยทหาร ได้แต่งตั้งทหารเข้าสู่ตำแหน่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แนวคิด โปรตุเกสมีรัฐบาลชั่วคราว 6 รัฐบาลในช่วง 3 ปี ส่วนใหญ่มีตำแหน่ง
และจุดยืนที่ค่อนข้างลังเลต่อสหภาพยุโรปและนอกจากนั้นก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับ
โลกที่ 3
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิใน ค.ศ. 1975 สถานการณ์การเมืองก็เลวร้ายลง
ในเดือนพฤศจิกายนก็มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งแต่ล้มเหลว แต่ก่อนหน้านั้น
คณะกรรมการสหภาพยุโรปเสนอว่าความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจะต้องเป็นไป
สำหรับสหรัฐอเมริกาการที่จะมีพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ในรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
รับไม่ได้และจะไม่เข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในในโปรตุเกส สำหรับสหภาพยุโรป
ฝ่ายกลางก็จะมองแต่ในเรื่องของการที่จะพัฒนาระบบของรัฐสภาในระบอบ
ประชาธิปไตย ผู้นำในประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรประบุว่าการช่วยเหลือทาง
การเงินจะต้องมีเงื่อนไขกับโปรตุเกส ต้องให้ไปขับเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตยแบบ
พหุนิยม ดังนั้น การเป็นประชาธิปไตยของโปรตุเกส ความช่วยเหลือก็จะมาทั้ง
เศรษฐกิจและสังคม นั้นหมายความว่าการพัฒนาประชาธิปไตยมีความสำคัญยิ่ง
ต่อโปรตุเกสเหตุเพราะความประสงค์ของสหภาพยุโรป เพราะฉะนั้นจึงเหมือนกับ
การอภิปรายรวมระหวางผูแทนจากตางประเทศ