Page 312 - kpi18886
P. 312
304
สิ่งที่สำคัญที่ทำให้ยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ กล่าวคือ
กระบวนการร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน กระบวนการในการสร้างนโยบาย
อุตสาหกรรมนั้นสำคัญกว่าตัวนโยบาย นโยบายจะสร้างสนามบินกี่แห่ง จะถม
ทะเลไม่ถมทะเล จะให้สิทธิพิเศษภาษีกี่ปีนั้นเป็นเรื่องรอง แต่กระบวนการที่
เอกชนและรัฐตกลงร่วมมือกันในทางบวกที่จะทำให้ประเทศไทยไปข้างหน้าด้วย
การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ นั้นสำคัญกว่า และเนื่องจากว่าเป็นกระบวนการ
ร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนที่แนบแน่น กระบวนการออกนโยบายจึงต้องทำให้
เป็นส่วนสำคัญหรือต้องเน้น (embedded) ให้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายของ
กลุ่มธุรกิจและภาครัฐเพื่อหานโยบายที่เหมาะสมกับประเทศไทย ซึ่งต้องทำให้อยู่
ในความสมดุลระหว่างการเน้น (embeddedness) ให้เป็นส่วนสำคัญของธุรกิจกับ
อำนาจ (authority) ของภาครัฐ เพื่อไม่ให้เกิดระบบสมัครพรรคพวกแจกเงินให้
เอกชน และต้องดำเนินไปในหลักคิดที่ว่า เมื่อรัฐให้แครอท (carrot) เพื่อเอกชน
นำไปลงทุนวิจัยพัฒนา สร้างงานสร้างสินค้า แต่ต้องมีไม้ตะพด (stick) ติดตามว่า
เอกชนนำเงินไปใช้จริงหรือไม่ และรัฐต้องพร้อมจะถอนการสนับสนุน ซึ่งไม้ตะพด
จะใช้ได้เมื่อมีตัววัดว่าเมื่อไรที่เอกชนเอาเงินของรัฐไปแล้วไม่ปฏิบัติ มีการกำหนด
มาตรฐาน มีเกณฑ์วัดที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม รัฐจึงสามารถตัดการช่วยเหลือได้
และทำให้ยังคงรักษาอำนาจของรัฐไว้ได้ และไม่ทำให้รัฐกับเอกชนสมคบคิด สิ่งนี้
เป็นบทเรียนจากประเทศในเอเชียตะวันออก
EEC คือนโยบายอุตสาหกรรม (IP) ของไทยฉบับล่าสุด ที่แจกแครอท
ในการลงทุน ทั้งสิ่งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี คือ การลดภาษี การลดค่าเช่าที่ดิน
การบังคับในการประเมินสิ่งแวดล้อมเสร็จสิ้นในเวลารวดเร็ว และการสร้าง
สาธารณูปโภค ขณะที่ยังไม่เห็นไม้ตะพดในโครงการ EEC การเติบโตทาง
เศรษฐกิจจะเกิดหรือไม่ตามยุทธศาสตร์ชาติเนื่องจากนโยบายนี้รัฐทำตัวเป็น
คนแจกเงิน รัฐจึงต้องมีความโปร่งใสและถูกตรวจสอบได้ด้วยว่าสิ่งที่แจกเงินไปนั้น
บรรลุผลหรือไม่อย่างไร ดังนั้นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้นโยบายอุตสาหกรรมประสบ
ความสำเร็จ คือ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และการรับผิด
สำหรับยุทธศาสตร์ชาติจะเอื้อต่อการสร้างเสถียรภาพในทางการเมืองนั้น
เมื่อพิจารณาว่ายุทธศาสตร์ชาติคือวิสัยทัศน์ที่มีเพื่อบังคับงูให้อยู่ในอุโมงค์
เพื่อบังคับให้รัฐบาลทุกชุดมุ่งหน้าไปสู่ยุทธศาสตร์ชาติ และมีการกำหนดไว้
การประชุมกลุมยอยที่ 5