Page 152 - 22373_Fulltext
P. 152
2) เด็กส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดแคลนทุนทรัพย์ในการศึกษา ด้วยผู้ปกครองมีรายได้น้อย เพราะ
ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างรายวัน “มีงานก็ไปท า ไม่มีก็ไม่ได้ท า” นอกจากนี้ยังมีเด็กซึ่งเป็นกลุ่มยากจน
พิเศษ ที่ผู้ปกครองจะยังไม่ส่งเข้าเรียนเนื่องจากรายได้ของครอบครัวมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามเทศบาล
มีโครงการให้ทุนการศึกษา เพื่อเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสนับสนุนเด็กเป็นงบของกรมส่งเสริมฯ และเป็นเงินของ
สถานศึกษาที่ให้มาเพื่อแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ โดยในขณะนี้มีจ้านวน 47 คน ยังคงอยู่ในกระบวนการคัดเลือกจาก
คณะกรรมการสถานศึกษา ด้วยเงินรายได้ของโรงเรียนที่มีจ้านวนน้อย ท้าให้เด็กได้รับการสนับสนุนเงินทุนได้
ไม่ครบทุกคน
3) นโยบายของผู้บริหารเน้นไปที่การพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตั้งแต่เริ่มต้นอนุบาลต่อยอดไปจนถึง
มัธยม ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มีสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น โควิด-19 เด็กจะต้องได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เทศบาล
จึงใช้โปรแกรมโมดุลในการสร้างการศึกษาให้แก่เด็ก อย่างไรก็ตามปัญหาคือเด็กบางส่วนเข้าถึงได้ ในขณะที่
เด็กบางส่วนเข้าถึงไม่ได้ ในส่วนที่เข้าไม่ถึง เทศบาลได้จัดห้องให้เด็ก ดังนั้นในการเรียนการสอนเทศบาลจึงมี
การสอนทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ นอกจากนี้เทศบาลยังเน้นทักษะด้านภาษาอังกฤษ “แม้ว่าเด็กจะยากจน
หรือเป็นยังไง เด็กเราต้องได้เรียนภาษาอังกฤษ” ส่วนคณิตศาสตร์ เทศบาลใช้โปรแกรมจากสิงคโปร์ ซึ่งขณะนี้
เทศบาลใช้มานานกว่าสองปี ก้าลังอยู่ในช่วงของการเก็บข้อมูลว่าผลเป็นอย่างไร อีกทั้งเทศบาลยังเป็นศูนย์เต็ม
ของจังหวัดล้าพูน ดังนั้นจึงได้รับสนับสนุนอุปกรณ์มาเป็นส่วนเสริม และสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม
บางโรงเรียนก็จะมีครูภาษาจีน ก็จะได้เรียนภาษาจีนมาตั้งแต่ระดับอนุบาล
4) ในกรณีของเด็กนอกระบบ เทศบาลจะใช้วิธีการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น หากเป็น
การวิจัยขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นกลไกลดความเหลื่อมล ้าทางด้านการศึกษา
เรื่องผู้ปกครองของเด็กที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ เทศบาลจะใช้วิธีการส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ปกครอง
ขณะเดียวกันข้อมูลในเชิงลึกของเทศบาลยังมีน้อย ผู้ปกครองยังไม่ได้เข้ามาร่วมอย่างเต็มที่ เพราะต้องท้างาน
โดยเทศบาลรับผิดชอบเด็กนอกระบบ ก้าลังด้าเนินโครงการของ กศส. เพื่อลดความเหลื่อมล้้า
5) เด็กที่มีปัญหามากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเด็กพิการ กลุ่มเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เทศบาล
ต้องเข้าไปส่งเสริมอาชีพให้ผู้ปกครองเพื่อที่จะมีรายได้มาดูแลเด็ก ปัญหาคือผู้ปกครอง เมื่อเทศบาลเข้าไป
ส่งเสริมแล้ว ผู้ปกครองไม่สามารถต่อยอดเพื่อหารายได้ แม้จะมีกองสวัสดิการ มีกลุ่มอาชีพของชุมชน อาทิ
กลุ่มคลองบางฮั่น ที่เข้าร่วมโครงการโดยการน้าเอาวัสดุอุปกรณ์กลับไปท้าที่บ้าน แต่รายได้ก็ยังไม่พอกับค่าใช้จ่าย
เพราะเด็กพิการต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก แม้ว่าเขาจะน้าเอาอาชีพเหล่านี้ไปท้าจึงท้าให้ล้มเลิกไป หรือแม้จะมี
หน่วยงานของ พม. (พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ที่จะให้ทุนส่งเสริมอาชีพ แต่จะสนับสนุนให้ครั้ง
ละประมาณ 5,000 หรือ 3,000 ต่อกลุ่มอาชีพ ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้เทศบาลจะมีกองการแพทย์ดูแลรับผิดชอบเด็กพิการและเด็กพิเศษ โดยในกลุ่มเด็กพิการ
เทศบาลจะมีพยาบาลวิชาชีพที่ออกเยี่ยมบ้านเด็ก โดยข้อมูลเด็กพิการจะได้มาจากกองสวัสดิการสังคมที่มีการ
แจกจ่ายเบี้ยยังชีพ และข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก อสม. ที่จะเป็นผู้มาแจ้งว่าบ้านใดมีเด็กพิการหรือเด็กที่ต้องดูแล
สุขภาพพิเศษ ท้าให้เทศบาลมีฐานข้อมูลจากแหล่งข้อมูลดังกล่าว ซึ่งจะแบ่งเด็กเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเด็กที่มี
ความบกพร่องทางการเรียนรู้หรือสติปัญญา ซึ่งบางคนสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ และกลุ่มที่ไม่สามารถ
เข้าเรียนร่วมกับผู้อื่นได้จะเป็นกลุ่มเด็กพิการที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เลย และเด็กที่ไม่ได้เข้าระบบ
การศึกษา เพราะด้วยลักษณะความพิการของเด็ก เช่น สมองพิการจนไม่สามารถเข้าเรียนหรือเรียนร่วมได้หรือ
กลุ่มผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ โดยกองการแพทย์จะออกเยี่ยมบ้านเพื่อท้าแผนดูแลเป็น
128 วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า