Page 261 - kpiebook62016
P. 261

244







                       ขัดแย้งกันเอง ตัวอย่างเช่น กลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านประชาธิปไตยและสนับสนุนระบอบอ านาจนิยม
                       ควรได้รับการลงโทษเมื่อระบอบอ านาจนิยมถูกโค่นลง เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและกติกาว่าด้วย

                       พลเมืองมีหน้าที่ธ ารงรักษาระบอบประชาธิปไตย แต่ในมุมตรงข้าม ก็อาจมองได้ว่า การออกมาต่อต้าน

                       ระบอบประชาธิปไตยเป็นสิทธิของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เมื่อถึงเวลาแสวงหาความร่วมมือ

                       อะไรคือวิธีที่ดีที่สุดในสถานการณ์ดังกล่าว ลงโทษ หรือให้อภัย ความย้อนแย้งนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
                       ยิ่งนัก การสร้างแนวร่วมและแสวงหาฉันทามติเพื่อสร้างประชาธิปไตย เป็นกระบวนการที่ไม่มีสูตร

                       ส าเร็จตายตัว


                              ประสบการณ์ในหลายประเทศชี้ว่า การปฎิรูปการเมืองเพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตย ต้อง

                       พร้อมที่จะประนีประนอม ให้ความส าคัญกับความก้าวหน้าและพัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป

                       (Incremental  progress)  มากกว่าการแก้ปัญหาแบบมุ่งผลส าเร็จแบบปูพรมในคราวเดียว
                       (Comprehensive solutions) ด้วยเหตุนี้ ความส าเร็จในการเปลี่ยนผ่านจะเกิดขึ้น เมื่อมีการสร้างแนว

                       ร่วมระหว่างพันธมิตรหลากกลุ่ม หลายฝ่าย เชื่อมต่อไปยังกลุ่มคนที่เคยต่อต้าน แกนน าขั้วตรงข้าม

                       ปฎิปักษ์ดั้งเดิมที่เคยเคียดแค้นชิงชัง ให้เปลี่ยนทัศนคติจากความต้องการแก้แค้น เอาคืน มาเป็นความ

                       เข้าใจ ผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการสะสาง เปิดเผย ช าระคดีอย่างเป็นธรรมและด้วยความ

                       เข้าใจและหัวใจที่กว้างขวาง

                              ค าถามส าคัญในสังคมไทยคือ พรรคการเมืองหลัก และกลุ่มทางสังคมที่เห็นต่างกันสองขั้ว

                       สองฝั่งความคิด จะสามารถหาจุดเชื่อมต่อ เพื่อประนีประนอมและผสานพลัง ที่น าไปสู่การต่อสู้เพื่อ

                       ประชาธิปไตยได้หรือไม่ และในขั้นตอนการจรรโลงประชาธิปไตย กลุ่มต่าง ๆ ในสังคมไทยจะยินดีให้

                       ความร่วมมือโดยมีประชาธิปไตยเป็นเป้าหมายหลัก เหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวระยะสั้นได้อย่างไร


                              ข้อค้นพบทั้งหมดที่ได้จากการศึกษานี้ สามารถสรุปสั้นๆ ได้ว่า ไม่ว่าสังคมหนึ่งจะโค่นล้มเผด็จ
                       การส าเร็จกี่ครั้ง ไม่ว่าการประท้วงจะเปี่ยมด้วยเจตนาบริสุทธ์และมีพลังเพียงใด ก็ยังไม่เพียงพอ

                       ส าหรับการปฏิรูปและเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนผ่านที่จะน าไปสู่ประชาธิปไตย ไม่ส าคัญว่าใครโค่นล้ม

                       ใคร หรือใครแทนที่ใคร แต่หัวใจอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงเครือข่ายสถาบันการเมืองทั้งองคาพยพ ให้เกิด

                       สมดุลแห่งอ านาจและอยู่ภายใต้การก ากับ ควบคุมและตรวจสอบ ในมือประชาชนและตัวแทน
                       ประชาชนมากที่สุด ตราบใดที่สถาบันทางการเมืองที่เป็นตัวแทนประชาชนถูกท าให้อ่อนแอ การพูดถึง

                       การปฏิรูปการเมือง ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเลือกตั้ง ก็เป็นเพียงความเพ้อฝันเท่านั้น
   256   257   258   259   260   261   262   263   264   265   266