Page 285 - kpi15476
P. 285

2 4     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                       กล่าวอีกทางหนึ่งคือ ความขัดแย้งใน 2 เรื่องนี้ คือการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและ
                  ทิศทางการพัฒนาประเทศ และไม่สามารถตกลงหรือประนีประนอมกันได้ ถือเป็นต้นตอของ

                  ปัญหาการเมืองไทยสมัยประชาธิปไตยและเป็นรากของการเกิดความรุนแรงทางการเมืองหลัง
                  2475 เป็นต้นมา โดยที่ผู้นำไม่ว่าจะเป็นรัชกาลที่ 7 และผู้นำท่านอื่นๆ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
                  ต่างก็ไม่สามารถแก้ไขได้และหรือแก้ไม่ตก เนื่องจากผู้นำก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ เพราะปัญหา

                  นี้เป็นปัญหาระดับโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรมที่เกี่ยวโยงกับผู้คนจำนวนมากหรือทุกกลุ่มการเมือง
                  ที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติตกลงร่วมกันและหรือยังไม่รู้จักการยอมกันบ้าง ดังจะเห็นได้ว่าเรายังไม่มี

                  รัฐธรรมนูญฉบับใดเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ในขณะเดียวกันการพัฒนาประเทศแบบเดิมยิ่งก่อให้
                  เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทำให้ความคิด ความต้องการของแต่ละกลุ่มที่แต่เดิมแตกต่าง
                  กันอยู่มากแล้ว ยิ่งขยายกว้างขึ้นอีก


                       แต่สิ่งสำคัญคือ เหนือปัญหาระดับโครงสร้างแล้ว ยังมีปัญหาเชิงวัฒนธรรมทับซ้อนอีกด้วย

                  เพราะทุกกลุ่มหรือแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งนั้นมักไม่ยอมต่อกันบ้าง ทั้งในเรื่องการ
                  กำหนดกติกาในรัฐธรรมนูญและการจัดตั้งรัฐบาลหรือการจัดสรรอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ไม่ว่า
                  จะเป็นกรณีระหว่างเจ้านายกับคณะราษฎร ฝ่ายปรีดี-เสรีไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ทหารกับ

                  พลเรือน และเหลืองกับแดง ดังที่เริ่มเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 และยังคงเกิดซ้ำๆ ในสมัยหลัง
                  อย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่ปรากฏใน “สงครามระหว่างสี” เนื่องจากในขณะที่ฝ่ายชนะแล้ว ยังคง

                  เอาแต่การกำหนดความได้เปรียบและยืนยันแต่เสียงข้างมาก ขณะที่ฝ่ายแพ้ก็ไม่มีความอดทนพอ
                  หรือยอมรับความพ่ายแพ้ แต่มักหันออกไปเล่นนอกกติกาแทน จุดจบของเรื่องจึงมักก้าวไม่พ้น
                  การใช้กำลังต่อกัน และส่งผลให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยยังไปไม่ถึงไหน ดังนั้น

                  การพยายามจะแก้ปัญหาความขัดแย้งในเรื่องนี้ เพื่อยุติบ่อเกิดแห่งความรุนแรง จึงต้องตัดรากของ
                  ปัญหาให้ได้ ซึ่งมิใช่เพียงปัญหาระดับโครงสร้างเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาเชิงวัฒนธรรมด้วย

                  ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง จึงเป็นข้อท้าทายในการบริหารจัดการ
                  วิกฤตการณ์ทางการเมืองของพวกเรา ไม่เฉพาะแต่ผู้นำสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา แต่รวมถึงคน
                  ไทยทุกคนทุกภาคส่วนจะร่วมมือกันอย่างไร และหรือจะยอมกันบ้างได้หรือไม่ ทั้งในเรื่องการ

                  จัดสรรอำนาจและประโยชน์


                  5 บทสรุปและส่งท้าย



                       ถ้าเราต้องการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาความรู้เกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งและการต่อสู้

                  ทางการเมืองไทยสมัยประชาธิปไตยให้หลุดออก “กับดัก” หรือก้าวข้าม “หลุมพลาง” แห่งการใช้
                  กำลังความรุนแรงต่อกันแล้ว เราจำเป็นต้องละทิ้งกระบวนทัศน์เดิม เนื่องจากแนวการพินิจปัญหา
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   แสวงหาวิธีคิดใหม่เพื่อทำความเข้าใจปัญหาความขัดแย้งในมิติที่กว้างและลงลึกกว่าเดิม หรือที่
                  ต่างๆ ดังกล่าวอยู่ในมิติที่แคบและมีพลังในการอธิบายจำกัดเพียงระดับพื้นผิวน้ำเท่านั้น จึงต้อง


                  ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง คล้ายทำนองกับการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมองโลกแบนมาสู่

                  โลกกลม คือจากตัวบุคคลหรือเฉพาะผู้นำไปสู่วาทกรรมแบบใหม่ คือการอธิบายผ่านกลุ่มตาม
                  วิธีการ “ปุริสลักขณพยากรณศาสตร์” เพื่อค้นหาและทำความเข้าใจปัญหาความขัดแย้งทาง

                  การเมืองระดับโครงสร้างและเชิงวัฒนธรรมที่อยู่หลังฉากของการใช้กำลังต่อกัน
   280   281   282   283   284   285   286   287   288   289   290