Page 283 - kpi15476
P. 283

2 2     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                  อยู่ที่คนไทยเราเอง เนื่องจากยังขาดวัฒนธรรมการประนีประนอมหรือการไม่ยอมกันบ้าง อาจมี
                  ทางแก้ คือยังพอมีความหวังอยู่ เพียงถ้าเราจักการยอมกันบ้าง โดยหันมาทำความเข้าใจซึ่งกัน

                  และกัน และสร้างการเรียนรู้ทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ แบบ “รู้เขารู้เรา”

                       การ “รู้เขารู้เรา” คือส่วนหนึ่งของการค้นหาคำตอบในส่วนลึกที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งมิใช่การ

                  ออกแบบสร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด เพราะรัฐธรรมนูญที่ขึ้นชื่อว่ามีความเป็น
                  ประชาธิปไตยมากที่สุด เช่น ฉบับ 2489 ฉบับ 2492 หรือฉบับหลังๆ ล้วนแสดงให้เห็นชัดว่า

                  มิใช่คำตอบสุดท้าย เพราะผู้ที่มีอำนาจหรือผู้มีบทบาทและอิทธิพลในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ
                  นั้น มักออกแบบให้ฝ่ายตนได้เปรียบกว่ากลุ่มอื่นๆ เสมอมา จึงไม่แตกต่างไปจากกำเนิดฉบับ
                  2475 ดังนั้น แทนที่รัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงจะเป็นกติกาทางการเมืองที่เป็นที่

                  ยอมรับของทุกฝ่าย กลับกลายเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่ก่อให้เกิดความรุนแรงทางการเมือง
                  ตามมาเสมอ เพราะฝ่ายอื่นไม่เอาด้วย เช่น เจ้านายไม่เอาฉบับ 2475 พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เอา

                  ฉบับ 2489 และในทางกลับกันฝ่ายพวกปรีดี-เสรีไทยไม่รับฉบับ 2492 ของพรรคประชาธิปัตย์
                  เช่นกัน


                       ดังนั้น การค้นหาคำตอบในส่วนลึกที่อยู่ใต้น้ำหรือหลังฉาก จึงมิใช่อยู่ที่ใครเป็นผู้นำหรือการ
                  รัฐประหาร เพราะเป็นเรื่องปลายเหตุ หากอยู่ที่เรื่องการจัดสรรอำนาจและประโยชน์ของแต่ละ

                  กลุ่ม โดยการทำความเข้าใจรากฐานของแต่ละคนแต่ละกลุ่มที่เข้ามาเกี่ยวข้องในปัญหาความ
                  ขัดแย้งนั้นๆ คือด้านภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม พื้นฐานทางวัฒนธรรม แนวคิดและ
                  องค์ประกอบของแต่ละกลุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีทั้งส่วนที่คล้ายกันและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

                  และในความคล้ายกับความแตกต่างกันนี้ย่อมเป็นที่มาและที่ไปของปัญหาความขัดแย้งทาง
                  การเมือง ที่สะท้อนผ่านเรื่องราวความล้มเหลวของประชาธิปไตยและสันติวิธีนับจากสมัยรัชกาลที่

                  7 เป็นต้นมา และยังคงเป็นมรดกตกทอดมาถึงสมัยปัจจุบันอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในระดับ
                  เนื้อหาของความขัดแย้งและรูปแบบวิธีการต่อสู้ทางการเมืองที่มักจบลงด้วยการใช้กำลัง แม้ผู้เล่น
                  กลุ่มต่างๆ จะแปรเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วก็ตาม และสังคมไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหานี้ต่อไป

                  อีกนาน ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการพินิจปัญหาการเมืองแบบใหม่ ทำนองคล้ายกับการ
                  มองโลกกลมมิใช่แบบ


                       ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระบวนทัศน์ในการอธิบายที่ผ่านมามักตก “หลุมพลาง” หรือติดอยู่กับ
                  “กับดัก” แห่งการเกิดความรุนแรงอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม โดยเน้นความล้มเหลวของ

                  ประชาธิปไตยและสันติวิธีจากแง่บุคคล ซึ่งเป็นปลายเหตุเช่นเดียวกับการเน้นรัฐประหาร เพราะ
                  พื้นฐานของการอธิบายมุ่งเพียงรูปแบบและเนื้อหาประชาธิปไตยมากกว่ามุ่งพินิจว่าเป็นที่ยอมรับ

                  ของฝ่ายอื่นหรือไม่ จึงมักเน้นแต่เรื่องการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ คือจมอยู่กับเรื่อง
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   ใครเป็นประชาธิปไตยกว่ากัน หรือใครเป็นเผด็จการมากกว่ากัน และที่สำคัญคือ มักแบ่งเพียงฝ่าย
                  ประชาธิปไตยหรือเผด็จการเป็นหลัก และคำอธิบายก็คงหลีกหนีไม่พ้นตัวบุคคลหรือผู้นำว่า



                  ทหารกับพลเรือนในการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ หรือการให้ความสำคัญอยู่ที่การปฏิวัติ
                  รัฐประหารของทหาร ดังเช่นแนวคิดเรื่อง “วงจรอุบาทว์” แต่เอาเข้าจริงแล้วปัญหาความขัดแย้ง

                  และการต่อสู้ทางการเมืองไทยหลัง 2475 มีพื้นฐานมาจากหลากหลายมิติทับซ้อนกันอยู่ กล่าวคือ
   278   279   280   281   282   283   284   285   286   287   288