Page 335 - kpi15476
P. 335

334     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                       บทความนี้ จึงมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการพิจารณาถึงการนำเอาหลักธรรมาภิบาลมาประยุกต์
                  ใช้ในการปรับปรุงโครงสร้าง ตลอดจนค่านิยมของระบบราชการไทยที่เกิดขึ้นในช่วงหลังปี พ.ศ.

                  2540 เป็นต้นมาซึ่งแม้จะเห็นได้ว่าหลักธรรมาภิบาลจะได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในระบบ
                  ราชการของไทยก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่าความพยายามในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลใน
                  ระบบราชการไทยยังมิได้เกิดมรรคผลอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบ บทความนี้เป็นความพยายาม

                  ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มและข้อจำกัดเกี่ยวกับการเสริมสร้างแนวคิดธรรมาภิบาลในระบบราชการของ
                  ไทยในแง่มุมต่างๆ โดยมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การนำเสนอแนวทางที่สำคัญบางประการที่อาจมี

                  ส่วนช่วยในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลให้กับระบบราชการของไทยให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและ
                  ยั่งยืนต่อไป


                       บทความนี้จะแบ่งโครงสร้างการนำเสนออกเป็น 3 ส่วน กล่าวคือ ในส่วนแรกจะเป็น
                  การทำความเข้าใจกับหลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมาภิบาลที่ได้รับการเผยแพร่

                  และที่มีการนำมาปรับใช้ในบริบทของไทย จากนั้นในส่วนที่สอง จะเป็นความพยายามชี้ให้เห็นถึง
                  แนวโน้มและข้อจำกัดบางประการของการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในระบบราชการไทย และในส่วน
                  ที่สาม เป็นบทสรุปที่พยายามมุ่งชี้ให้เห็นถึงภาพของปัญหารวมทั้งข้อเสนอแนะบางประการที่อาจ

                  ถือเป็นแนวทางสำหรับการลดข้อจำกัดของธรรมาภิบาลในระบบราชการไทย





                  หลักธรรมาภิบาลกับระบบราชการไทย



                       หลักธรรมาภิบาลซึ่งมาจากคำในภาษาอังกฤษว่า Good Governance นั้น เป็นหลักการที่

                  เริ่มได้รับการพูดถึงในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยธนาคารโลก ทั้งนี้ธนาคารโลกได้ตะหนักถึง
                  ความสำคัญของหลักธรรมาภิบาลที่มีต่อการพัฒนาและฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจ (World Bank

                  1989) และหลังจากนั้น หลักธรรมาภิบาลก็ได้รับการขยายผลและนำไปกล่าวถึงกันอย่าง
                  กว้างขวางโดยบรรดาองค์การระหว่างประเทศหลายองค์การไม่ว่าจะเป็นองค์การที่เกี่ยวข้องกับ
                  เศรษฐกิจการเงินระหว่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศด้านการพัฒนาโดยหลักแล้ว

                  องค์การระหว่างประเทศเหล่านั้นต่างมองว่าหลักธรรมาภิบาลจะเป็นหลักการหรือแนวทางสำคัญที่
                  จะช่วยให้ประเทศต่างๆ มีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่มั่นคงและยั่งยืน


                       โดยพื้นฐานแล้วหลักธรรมาภิบาลเป็นหลักการที่ให้ความสำคัญกับ 3 ภาคส่วนในสังคม
                  อันได้แก่ ภาครัฐ (public sector) ภาคธุรกิจเอกชน (private sector) และภาคประชาสังคม

                  (civil society) โดยเป็นการเน้นถึงการทำงานของภาคส่วนทั้ง 3 ในสังคมที่ต้องมีการเชื่อม
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่ของการปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างสังคมธรรมาภิบาลแล้วนั้น
                  ประสานกันอย่างได้สมดุล (อรพินท์ สพโชคชัย อ้างใน บวรศักดิ์ อุวรรณโณ 2542 : 29-30)



                  ต้องยอมรับว่าการสร้างสังคมธรรมาภิบาลนับเป็นสิ่งที่เป็นพลวัต ไม่ได้เป็นกระบวนการที่หยุดนิ่ง
                  จากบทความชิ้นหนึ่งของ Merilee S. Grindle ได้แสดงให้เห็นว่าเงื่อนไขหรือสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้เกิด

                  สังคมธรรมาภิบาลนั้น มักมีจำนวนเงื่อนไขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ Grindle ได้ทำการศึกษา
   330   331   332   333   334   335   336   337   338   339   340