Page 339 - kpi15476
P. 339
33 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คงพอช่วยทำให้เห็นได้ว่าหลักธรรมาภิบาลได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ
ในประเทศไทยในช่วงที่มีกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมืองในช่วงหลังปี พ.ศ. 2535
ต่อเนื่องถึงช่วงปี พ.ศ. 2540 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาถึงสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 แล้ว ก็จะยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบทบัญญัติหลายส่วนใน
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นความพยายามในการบ่มเพาะหลักการพื้นฐานของธรรมาภิบาลให้กับ
การเมืองไทย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในส่วนของกลไกระบบราชการของไทยแล้ว เราจะเห็นได้ว่า
แนวคิดของรัฐบาลในอันที่จะปฏิรูประบบราชการได้เริ่มแสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่ในช่วง
รอยต่อระหว่างรัฐบาลของ พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ต่อเนื่องถึงในช่วงรัฐบาลของ
พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ กล่าวคือ ในช่วงรัฐบาลของ พล.อ. เปรม ได้มีการปรับปรุง ”คณะ
ที่ปรึกษาระเบียบบริหารของนายกรัฐมนตรี” ที่มีมาตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลของ พล.อ. เกรียงศักดิ์
และจัดตั้งเป็น “คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการและระเบียบริหารราชการแผ่นดิน” อย่างไร
ก็ตาม หากพิจารณาถึงแนวคิดหรือเป้าหมายที่สำคัญของการปฏิรูประบบราชการในช่วงระยะเวลา
ดังกล่าว ก็จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ที่สำคัญนั้นอยู่ที่การจำกัดขนาด หรือป้องกันการขยายตัวของ
ส่วนราชการเป็นสำคัญ (วสันต์ เหลืองประภัสร์ 2556 : 193-194)
แนวความคิดในการปรับปรุงหรือปฏิรูประบบราชการเพื่อเป้าหมายในการเสริมสร้างธรรมา-
ภิบาลให้แก่ตัวระบบราชการดูเหมือนว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงรัฐบาลของนายอานันท์
ปันยารชุน (ปี พ.ศ. 2534 - 2535) ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลของนายอานันท์ได้มีการริเริ่ม
นโยบายเรื่องการจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐบางหน่วย รวมถึงมีการดำเนินมาตรการ
ส่งเสริม “ความโปร่งใส” ในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ หลังจากนั้น ความพยายามของ
การปฏิรูประบบราชการภายใต้กรอบแนวคิดธรรมาภิบาลได้ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมอีกครั้งหนึ่ง
ในสมัยรัฐบาลของนายบรรหาร ศิลปอาชา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงปี
พ.ศ. 2538-2539 ทั้งนี้ก็เพราะว่าในช่วงสมัยรัฐบาลของนายบรรหาร ได้มีการประกาศใช้
พระราชบัญญัติที่สำคัญ 2 ฉบับที่มีสาระสำคัญเกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลในระบบราชการไทย
นั่นก็คือ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และ พระราชบัญญัติความ
รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (วสันต์ เหลืองประภัสร์ 2556 : 194-195) ซึ่ง
กฎหมายทั้ง 2 ฉบับมีส่วนอย่างสำคัญในการวางกรอบแนวทางการปฏิบัติราชการของหน่วยงาน
ภาครัฐ กับทั้งสร้างความรู้สึกรับผิดรับชอบให้เกิดขึ้นในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐให้มากยิ่งขึ้น
ในช่วงรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย (ปี พ.ศ. 2540-2543) นับเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่หลัก
ธรรมาภิบาลได้เข้ามามีส่วนอย่างสำคัญต่อการปรับปรุงแนวคิด ค่านิยม และกระบวนการดำเนิน
เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย ประเทศในช่วงปี พ.ศ. 2540 ที่ส่งผลทำให้บรรดาองค์กรทางด้านเศรษฐกิจและการเงินระหว่าง
งานของระบบราชการไทย ส่วนหนึ่งย่อมเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจของ
ประเทศที่ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินแก่ประเทศไทยต่างเรียกร้องให้ประเทศไทยต้องมุ่ง
ปฏิรูปการบริหารงานภาครัฐภายใต้กรอบแนวคิดธรรมาภิบาล (Bidhya Bowornwathana 2000
: 394) ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเราจึงสังเกตเห็นได้ถึงทิศทางความพยายามในการปฏิรูป