Page 338 - kpi15476
P. 338

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   33


                      เป็นความพยายามที่สำคัญในการปรับเปลี่ยนแนวคิดและค่านิยมของการปกครองในระบอบ
                      ประชาธิปไตย จาก “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative Democracy)” ไปสู่

                      “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy)” ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ตัวประชาชน
                      โดยการให้หลักประกันในเรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชนที่กว้างขวาง รวมถึงการมีส่วนร่วมของ
                      ประชาชนในกระบวนการทางการเมือง โดยมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่การมีส่วนร่วมผ่านกระบวนการ

                      ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงช่องทางอื่นๆด้วย เช่น การร่วมให้ความเห็นในการ
                      ดำเนินโครงการสำคัญๆของรัฐ การริเริ่มเสนอกฎหมายที่ประชาชนอาจเห็นว่ามีความสำคัญ

                      การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นต้น

                            นอกจากการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและค่านิยมเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้ว

                      ความพยายามเสริมสร้างธรรมาภิบาลที่เป็นผลสืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
                      พ.ศ. 2540 ยังรวมถึงการสถาปนาองค์กรของรัฐที่มีสถานะเป็น “องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ”

                      อีกหลายองค์กร ซึ่งรัฐธรรมนูญมีจุดมุ่งหมายให้กระบวนการใช้อำนาจรัฐมีความชอบธรรมมากขึ้น
                      สามารถถูกตรวจสอบ และช่วยให้เกิดความโปร่งใส อันได้แก่ กลไกศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง
                      คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะ

                      กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา


                            รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 นอกจากจะออกแบบระบบการตรวจสอบ
                      และกำกับการใช้อำนาจรัฐแล้วที่เข้มข้นมากขึ้นแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการเสริมความเข้มแข็งและ
                      ความมีเสถียรภาพให้แก่ฝ่ายการเมืองซึ่งหมายถึงรัฐบาลที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการประเทศ

                      อีกด้วย ดังจะเห็นได้จากโดยเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้พยายามแยกโครงสร้างของ
                      ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติออกจากกันอย่างชัดเจน ดังที่ได้บัญญัติเอาไว้ในมาตรา 204 ว่า

                      นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในเวลาเดียวกัน
                      มิได้ (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 : มาตรา 204) ความพยายามในการสร้าง
                      เสถียรภาพให้กับรัฐบาลยังสามารถพิจารณาได้จากการที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติให้กระบวนการ

                      ในการตรวจสอบรัฐบาลโดยฝ่ายนิติบัญญัติอาจทำได้ไม่ง่ายนัก กล่าวคือ หากสมาชิกสภาผู้แทน
                      ราษฎรมีความประสงค์ที่จะเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแล้ว จะต้องมีเสียง

                      ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าสองในห้าของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด
                      ในการขอยื่นญัตติ รวมทั้งต้องมีการเสนอชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี
                      คนต่อไปมาพร้อมกับญัตติด้วย (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 : มาตรา 185)

                      และในกรณีของการเสนอญัตติอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ก็ยังจำเป็น
                      ต้องอาศัยเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากถึงหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมด

                      (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 : มาตรา 186) ซึ่งในกรณีทั้งสองนี้ ต้องถือว่า
                      ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่ารัฐบาลมีเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
                      ในรัฐสภาอยู่มากด้วยแล้ว กระบวนการอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลย่อมสามารถกระทำ

                      ได้ยาก ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้รัฐบาลมีเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น                                เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
   333   334   335   336   337   338   339   340   341   342   343