Page 349 - kpi15476
P. 349
34 การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15
บทสรุป: แนวโน้มและข้อจำกัดของการเสริมสร้าง
ธรรมาภิบาลในระบบราชการไทย
การทบทวนถึงการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในระบบราชการไทยที่มีจุดเริ่มต้นชัดเจนในช่วง
หลังปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาหลังจากเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองนั้น ได้ทำให้เรา
เห็นว่า ณ วันนี้ ระบบราชการไทยได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาลอยู่มากพอ
สมควร โดยได้มีการพัฒนาระบบ กลไก รวมถึงองค์กรต่างๆหลายองค์กรเพื่อช่วยทำหน้าที่ในการ
เสริมสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นในระบบราชการไทย อย่างไรก็ตาม หากเราพิจารณาถึงความ
เปลี่ยนแปลงดังกล่าว เราย่อเห็นถึงแนวโน้มและข้อจำกัดของประเด็นดังกล่าวอยู่หลายประการ
ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ
ในระดับแนวคิดของการสร้างธรรมาภิบาลให้กับระบบราชการ เราจะเห็นได้ถึงความ
พยายามของรัฐบาลในการปฏิรูปกลไกระบบราชการภายใต้กรอบแนวทางของธรรมาภิบาล แต่
ทว่าในการดำเนินการนั้น รัฐบาลกลับมุ่งให้ความสำคัญแต่เรื่องของการจัดทำแผน การออกมติ
คณะรัฐมนตรี ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆมารองรับ รวมถึงการประชุมสัมมนาเรื่องการปฏิรูป
ระบบราชการ มากกว่าที่จะวิเคราะห์ถึงผลได้ ผลเสีย รวมถึงผลกระทบของการปฏิรูประบบ
ราชการที่อาจจะเกิดขึ้นกับภาคส่วนต่างๆ นอกจากนั้น ในการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการ
รัฐบาลก็มุ่งเน้นมิติด้านประสิทธิภาพของระบบราชการเป็นอันดับต้น โดยกล่าวถึงประเด็นเรื่อง
ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ การสนองตอบต่อประชาชน ของภาคราชการเป็นลำดับรอง
ในมิติด้านดุลความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ การศึกษา
ทำให้เราเห็นว่าการปฏิรูปการเมืองในช่วงหลังปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ได้ทำให้ฝ่ายการเมือง
ที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจและความเข้มแข็งมากขึ้น จนสามารถควบคุมฝ่ายข้าราชการประจำ
ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่ปรากฏการณ์ดังกล่าวกลับทำให้ข้าราชการประจำโดย
ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ของตนโดยมุ่งสนองตอบต่อนโยบาย และความต้องการของฝ่ายการเมืองเป็น
สำคัญ โดยอาจไม่ให้ความสนใจกับภาคประชาชนมากนัก เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าราชการ
ประจำอาจถูกลงโทษหรือโยกย้าย
ในมิติด้านความเหมาะสมและศักยภาพของโครงสร้างและกลไก เราก็จะเห็นได้ว่าผลของ
การปฏิรูปการเมืองนำมาซึ่งการสร้างกลไกและการจัดตั้งองค์กรใหม่ๆขึ้นจำนวนมาก แต่ทว่าหาก
เราพิจารณาถึงการทำงานของโครงสร้างและกลไกเหล่านั้นในทางปฏิบัติแล้ว เรายังอาจเห็นว่า
กลไกหลายอย่างอาจยังไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเต็มศักยภาพ เช่น กลไกใน
เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย ภาพ รวมถึงองค์กรอิสระบางองค์กรที่มีข้อจำกัดในการทำหน้าที่ด้วยเช่นเดียวกัน
การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การให้มีการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ที่มี
ลักษณะเป็นการป้องปรามการทุจริตเท่านั้น ไม่สามารถที่จะควบคุมฝ่ายการเมืองได้อย่างมีปะสิทธิ
ในมิติด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ก็พบกับปัญหาเช่นกันว่าประชาชนยังคงมีบทบาท
ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองและการบริหารที่จำกัดทั้งในระดับชาติและ