Page 346 - kpi15476
P. 346
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15 345
หากมองโดยภาพรวม อาจกล่าวได้ว่าการจัดตั้งกลไกและองค์กรขึ้นมาเพื่อช่วยกันสร้าง
หลักประกันด้านธรรมาภิบาลดังที่กล่าวมานี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีและควรต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
ก็ตาม แต่หากลองพิจารณาให้ลึกลงไปในรายละเอียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความเหมาะสม
และศักยภาพของกลไกและองค์การเหล่านี้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่ากลไกและองค์กรด้านการเสริมสร้าง
ธรรมาภิบาลยังคงเผชิญกับปัญหาและจุดอ่อนอยู่มากพอสมควร อย่างเช่น ในประการแรก
หากเราเปรียบเทียบระหว่างกลไกการกำกับและควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายการเมือง
กับข้าราชการประจำแล้ว เราจะเห็นได้ว่าข้าราชการประจำนั้น จะถูกควบคุมและกำกับโดยกลไกที่
มีความครอบคลุมและมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับฝ่ายการเมือง นั่นก็คือ
มาตรการทางด้านวินัยของข้าราชการ ภายใต้มาตรการดังกล่าวถือกันว่า “วินัยของข้าราชการ”
เป็นสิ่งที่มีขึ้นเพื่อควบคุมให้ข้าราชการทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ระเบียบ แบบแผน และ
ความประพฤติที่ทางราชการได้กำหนดไว้ ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นทั้งข้อห้าม และข้อควรปฏิบัติ
(สถาบันดำรงราขานุภาพ 2554 : 9-10) วินัยข้าราชการเป็นการบัญญัติขึ้นตามพระราชบัญญัติ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ซึ่งมีการกำหนดโทษทางวินัยไว้เป็น 5 สถาน อันได้แก่
ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดเงินเดือน ปลดออก และไล่ออก (สถาบันดำรงราชานุภาพ สำนักงาน
ปลัดกระทรวงมหาดไทย 2554 : 7) ในขณะที่การกำกับและควบคุมฝ่ายการเมือง อาจเป็น
มาตรการทางการเมืองและกฎหมายที่มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นๆ ที่
เกี่ยวข้อง เช่น การถอดถอน หรือการให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและ
หนี้สิน ซึ่งมาตาการเหล่านี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้นักการเมืองกระทำความผิด
หรือทุจริตต่อหน้าที่มากกว่าที่จะเป็นการกำหนดถึงข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติแบบเดียวกันกับวินัย
ของข้าราชการ นอกจากนั้น การดำเนินการตามกระบวนการเหล่านี้ ยังมีทั้งโอกาสและช่องว่างให้
นักการเมืองสามารถต่อสู้หรือแม้แต่หลบหนีความผิดได้ ดังกรณีที่เห็นประจักษ์ชัดในสังคมอยู่
หลายกรณี
เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้จึงพอที่จะกล่าวได้ว่ามาตรการที่สำคัญของภาครัฐในการกำกับ
และควบคุมกระบวนการการทำงานของฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำนั้น เรายังคงขาด
มาตรการที่เข้มข้นและรัดกุมเพียงพอสำหรับการกำกับและควบคุมฝ่ายการเมือง ทั้งๆ ที่ฝ่าย
การเมืองในปัจจุบันมีดุลอำนาจที่เหนือกว่าฝ่ายข้าราชการประจำดังที่ได้กล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้
รวมทั้งแนวโน้มของการทุจริต ที่มีแนวโน้มแสดงให้เห็นว่านักการเมืองระดับสูงกำลังเป็นต้นเหตุ
สำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริต (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แห่งชาติ, รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี
2553, http://www.nacc.go.th/download/article/article_20130320170322.pdf, เข้าถึงข้อมูล
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2556)
นอกจากประเด็นด้านความเหมาะสมของกลไกที่ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลดังที่
ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้ว หากมองในเชิงศักยภาพและขีดความสามารถขององค์กรต่างๆ ที่ทำ
หน้าที่ ก็อาจทำให้เราเห็นถึงข้อจำกัดในเรื่องศักยภาพของหน่วยงานเหล่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับ
ข้อร้องรียนที่เกิดขึ้น ด้วยเช่นกัน เช่น ในกรณีของคณะกรรมการป้องกันและปรามการทุจริต เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
แห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีรายงานข่าวรายงานสถิติของเรื่องร้องเรียนที่ค้างอยู่เป็นจำนวนมาก