Page 344 - kpi15476
P. 344

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   343


                      ได้มากขึ้นหรือไม่ ซึ่ง Painter ได้อธิบายว่าการปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.
                      2545 นับเป็นจังหวะและโอกาสที่ดียิ่งของฝ่ายการเมืองในการจัดวางตัวข้าราชการระดับสูงหลาย

                      ตำแหน่งภายในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าข้าราชการที่มีแนวทางหรือรูปแบบการทำงาน
                      ที่ไม่สอดคล้องต้องกันกับฝ่ายการเมือง ก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง
                      สำคัญที่ครองอยู่ โดยฝ่ายการเมืองก็จะพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการประจำคนอื่นที่ฝ่ายการเมือง

                      เห็นว่ามีความ “เหมาะสม” และสามารถทำงานเข้ากับฝ่ายการเมืองได้เป็นอย่างดีเข้ามาดำรง
                      ตำแหน่งนั้นๆ แทน (Painter 2006 : 39-40) เพราะฉะนั้น หากเรามองจากปรากฏการณ์

                      ข้างต้น เราจึงอาจกล่าวได้ว่าการที่ดุลทางอำนาจระหว่างฝ่ายการเมืองกับข้าราชการประจำเปลี่ยน
                      ไปนั้น ไม่ได้ส่งผลทำให้กลไกระบบราชการสามารถสนองตอบต่อปัญหาและความต้องการของ
                      ประชาชนได้ดีขึ้น แต่ทว่าเป็นการช่วยให้กลไกราชการสนองตอบต่อนโยบายและความต้องการ

                      ของฝ่ายการเมืองได้ดียิ่งขึ้นเสียมากกว่า เพราะหากข้าราชการประจำผู้ใดไม่สนองตอบต่อนโยบาย
                      หรือความต้องการของฝ่ายการเมืองแล้ว นั่นย่อมหายถึงความเปลี่ยนแปลงของบทบาทและอำนาจ

                      ของข้าราชการประจำผู้นั้น

                            ความเปลี่ยนแปลงดุลของอำนาจระหว่างฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำที่เปลี่ยนแปลง

                      ไปในช่วงหลังการปฏิรูปการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2540 ไม่ได้จำกัดให้เห็นแต่เพียงแค่ในระดับชาติ
                      เท่านั้น หากเราเปลี่ยนหน่วยของการวิเคราะห์จากระดับชาติลงไปสู่ระดับท้องถิ่น เราก็จะเห็นได้

                      ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของดุลทางอำนาจระหว่างฝ่ายการเมือง และข้าราชการประจำของท้องถิ่น
                      ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในช่วงที่การเมืองไทยมีบรรยากาศแบบอำมาตยาธิปไตยนั้น กลไกการ
                      ปกครองท้องถิ่นย่อมตกอยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับของข้าราชการประจำซึ่งในช่วงเวลา

                      ดังกล่าวอาจยังไม่มีการขีดเส้นแบ่งระหว่างข้าราชการของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
                      ที่ชัดเจนมากนัก เราจะเห็นถึงบทบาทของข้าราชการประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระทรวง

                      มหาดไทยในการกำกับและควบคุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ชัดเจนและเข้มข้น โดยที่
                      นักการเมืองท้องถิ่นจะเข้ามามีบทบาทน้อยมาก (ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ 2555 : 30-34)


                            จนกระทั่งกระบวนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เริ่มต้นขึ้นอย่าง
                      จริงจังในช่วงหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 นี้เอง ที่ได้ส่งผล

                      ให้ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกรูปแบบต้องมาจากการเลือกตั้ง ยังผลให้ฝ่าย
                      การเมืองของท้องถิ่นได้ทวีบทบาทและอำนาจหน้าที่มากขึ้นโดยลำดับ ประกอบกับระบบการ
                      บริหารงานบุคคลของข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นเอง ที่ออกแบบให้ผู้บริหารขององค์กร

                      ปกครองส่วนท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจในการบริหารงานบุคคลภายในองค์กรปกครอง
                      ส่วนท้องถิ่นอย่างเกือบเบ็ดเสร็จ ได้ส่งผลทำให้ดุลความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่าย

                      ข้าราชการประจำเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ช่วงหลังปี พ.ศ. 2540
                      จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ฝ่ายข้าราชการประจำของท้องถิ่นต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้บริหารงาน
                      ซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองอย่างเกือบจะสมบูรณ์ ซึ่งแน่นอนว่าข้าราชการประจำของท้องถิ่นเหล่านี้

                      ย่อมต้องทำงานเพื่อสนองตอบต่อนโยบายของผู้บริหารซึ่งเป็นฝ่ายการเมืองก่อนเป็นอันดับแรก
                      หาใช่ภาคประชาชนในท้องถิ่นแต่ประการใด                                                               เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
   339   340   341   342   343   344   345   346   347   348   349