Page 97 - kpi15476
P. 97

9      การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                          องค์อรรกเทพหรือสุริยเทพทรงแผ่พระรัศมีเพื่อหน่วงเอาน้ำไว้ตลอด 8 เดือน
                     พระราชาพึงเก็บภาษีจากแว่นแคว้นของพระองค์ นี้คือกฎแห่งอรรกเทพ

                          พระวายุทรงพัดไปสู่สัตว์ทั้งปวง พระราชาพึงส่งจารบุรุษไปทั่วทุกตำบล นี่คือกฎแห่ง
                     วายุเทพ
                          ยมเทพทรงควบคุมทั้งมิตรและศัตรูเมื่อบุคคลนั้นถึงแก่กรรม ประชาชนพึงอยู่ใน

                     ความควบคุมของพระราชา นี่คือกฎแห่งยมเทพ
                          พระวรุณทรงพันธนาการบุคคลอย่างแน่นหนาฉันใด พระราชาพึงพันธนาการคนชั่ว

                     ฉันนั้น นี่คือกฎแห่งวรุณเทพ
                          มนุษย์พากันเบิกบานยินดีเมื่อเห็นจันทรเทพในคืนเพ็ญฉันใด พลเมืองพึงมีความ
                     ชื่นชมในพระราชาฉันนั้น นี่ชื่อว่าเป็นไปตามกฎแห่งจันทรเทพ

                          พระราชาพึงกระตือรือร้นและทรงความรุ่งเรืองในการกำจัดคนผิดและทำลายศัตรูโดย
                     รอบ นี่คือกฎแห่งอัคนีเทพ

                          ปฤถิวีเทพทรงรองรับสรรพสัตว์ดุจเดียวกัน พระราชาพึงรองรับสัตว์ทั้งปวง ฉันนั้น
                     นี่ชื่อว่าทำตามกฎแห่งปฤถิวีเทพ” (Burnell, IX, 303-311)


                       พระราชาจึงทรงมีฐานะเป็นเทวดามาปกครองมนุษย์เป็นราชาที่เป็นเทวดาหรือเทวราช
                  มีฐานะสูงและแยกกับประชาชนพลเมืองอย่างเด็ดขาด เมื่อไทยรับลัทธินี้มาใช้ในสมัยอยุธยา

                  ความคิดยังได้พัฒนาต่อไปโดยเชื่อมโยงกับการอวตารของพระนารายณ์ แม้สมเด็จพระนารายณ์
                  มหาราชก็มีผู้เห็นว่ามี 4 กร นอกจากนั้นชื่อตำแหน่งของพระราชาก็มีคำที่เกี่ยวข้องกับการอวตาร
                  เช่น พระรามาธิบดีซึ่งหมายถึงอวตารของพระนารายณ์มาเป็นพระราม พระเจ้าแผ่นดินไทยสมัย

                  อยุธยา ก็ทรงมีฐานะเป็นเช่นนั้น การปกครองแบบนี้นักประวัติศาสตร์มักใช้คำว่า
                  สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งก็ต่างกับสมบูรณาญาสิทธิราชย์เดิมของตะวันตกและต่างกับ

                  สมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสมัยภูมิธรรมของตะวันตก แม้ว่าจะทรงมีพระราชอำนาจเด็ดขาด
                  เช่นเดียวกันก็ตาม


                       ลัทธิเทวราชในสมัยอยุธยาแม้ว่าจะรับพราหมณ์ฮินดูมาจากขอม แต่ก็เห็นได้ว่าผสานเข้ากับ
                  แนวคิดในพระพุทธศาสนาอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพระพุทธศาสนากลายเป็นศาสนาหลักแม้ว่า

                  ศาสนาพราหมณ์ฮินดูจะมีความสำคัญในราชสำนักด้วยก็ตาม หน้าที่อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
                  เป็นหน้าที่สำคัญของพระราชาและทรงมุ่งเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตกาล ฐานะของพระราชา
                  เปรียบด้วยพระพุทธเจ้า แม้ตำแหน่งของพระราโอรสองค์ใหญ่ก็เป็นสมเด็จหน่อพระพระพุทธเจ้า

                  บ้าง สมเด็จหน่อพุทธางกูรบ้าง อิทธิพลของพระพุทธศาสนาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในแนวคิด
                  เทวราชาของอยุธยา 2 ประการคือ พระราชาทรงมีฐานะเป็นเทพแบบพุทธคือเป็นเทพด้วย

                  บุญบารมีที่ทรงสร้างมาแต่อดีต กับพระราชาต้องเป็นผู้ทรงธรรม ปกครองโดยธรรม ปฏิบัติโดยมี
        เอกสารประกอบการอภิปราย   บัลลังก์ลงก็ได้ แนวคิดนี้ได้พัฒนาต่อมาเป็นแนวคิด สมมติเทพ กล่าวคือ พระราชาไม่ใช่เทพ
                  ธรรมของพระพุทธศาสนากำกับ หากไม่ทรงตั้งอยู่ในธรรมก็ถือว่าสิ้นบารมีผู้มีบุญอื่นก็ล้มราชา



                  แต่มีฐานะสูงเสมอกับเทพเพราะทรงคุณงามความดีตั้งมั่นอยู่ในธรรมของบุคคล ทรงธรรมของ
                  ผู้ปกครอง มีทศพิธราชธรรมเป็นต้น นักประวัติศาสตร์มักสรุปรวมๆ และนำเรื่องเทวราชา
   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101   102