Page 73 - kpi12626
P. 73
2 การวิเคราะห์ฐานะทางการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น:
คู่มือสำหรับนักบริหารงานท้องถิ่นในยุคใหม่
ในภาพรวมนั้น เทศบาลกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีทรัพยากรเพียงพอ
สำหรับการจัดบริการสาธารณะในรอบปี โดยในปีงบประมาณ 2552 เทศบาล
มีสัดส่วนรายรับรวมต่อรายจ่ายรวมระหว่าง 1.25 ต่อ 1 ถึง 1.41 ต่อ 1 หรือ
หมายความว่าเทศบาลกลุ่มตัวอย่างโดยเฉลี่ยมีรายรับรวมสูงกว่ารายจ่าย
รวมราวร้อยละ 25 ถึงร้อยละ 41 ในส่วนของการสร้างกันชนทางการเงิน
(buffer) ในรูปของการเก็บเงินสะสมสำหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉินหรือเมื่อมี
ความจำเป็นนั้น ข้อมูลในตารางชี้ว่าขนาดของเงินสะสมของเทศบาลโดย
เฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ กล่าวคือเทศบาลกลุ่มตัวอย่างมีเงินสะสมที่
นำมาใช้จ่ายได้ราวร้อยละ 25.4 ถึง 39.0 ของรายจ่ายรวม หรือเทียบได้กับ
10
รายจ่ายรวมของเทศบาลประมาณ 3.1 ถึง 4.7 เดือน นอกจากนี้ ในช่วงต้น
ปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่วิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้นทั่วโลกและส่งผลกระทบถึง
เศรษฐกิจไทย เทศบาลกลุ่มตัวอย่างยังคงรักษาระดับเงินสะสมในระหว่าง
ปีงบประมาณ 2552 ได้ดีพอสมควร โดยเฉลี่ยมีเงินสะสมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.78
เมื่อเปรียบเทียบกับยอดเงินสะสมในวันต้นปีงบประมาณ 2552 (วันที่
1 ตุลาคม 2552) อย่างไรก็ดี พึงสังเกตว่าเทศบาลขนาดใหญ่ดังเช่นเทศบาล
นครมีระดับเงินสะสมเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเพียงร้อยละ 0.1 เท่านั้น ซึ่งอาจเป็น
เพราะเทศบาลขนาดใหญ่เหล่านี้จำเป็นต้องเร่งนำเงินสะสมออกมาใช้จ่าย
เป็นจำนวนมากเพื่อประคับประคองมิให้บริการสาธารณะที่จัดให้แก่
ประชาชนได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำก็เป็นได้
นอกจากนี้แล้ว เราสามารถพิจารณาจากตารางที่ 4-2 ได้ว่าเทศบาลที่
มีขนาดแตกต่างกัน มีขอบเขตความรับผิดชอบต่างกัน หรือมีศักยภาพ
ทางการเงินการคลังที่แตกต่างกัน จะมีความยั่งยืนทางงบประมาณในระดับ
ที่แตกต่างกัน กล่าวคือเทศบาลนครมีขีดความสามารถในด้านงบประมาณ
และการพึ่งพาตนเองทางการคลัง (fiscal independency) ในระดับที่สูงกว่า
ค่าเฉลี่ย ซึ่งประเมินได้จากค่าอัตราส่วนการดำเนินงานเท่ากับ 1.41 และ
10 ในสหรัฐอเมริกา องค์กรปกครองท้องถิ่นมักนิยมเก็บเงินสำรองไว้ประมาณร้อยละ 5
ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีเท่านั้น อ่านรายละเอียดได้จาก Joice (2001) หรือ Hou and
Moynihan (2008)