Page 199 - kpi15476
P. 199

19      การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                  ธรรมราชา และสมมุติเทพ :
                  การผสมผสานที่ลงตัวของพราหมณ์และพุทธ




                       คำว่า ธรรมราชา แปลตามความหมายทั่วไปได้ว่าคือ พระราชาผู้ทรงธรรม อย่างไรก็ตาม
                  ความคิดเรื่องธรรมในศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ก็แตกต่างกัน แต่ชาวไทยก็ได้รับวัฒนธรรม

                  ทางศาสนาทั้งจากฝ่ายพุทธและฝ่ายพราหมณ์ โดยเฉพาะเรื่องการปกครองนั้นแยกพุทธแยก
                  พราหมณ์แทบจะไม่ได้ เพราะอ้างถึงหลักการเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2542,

                  น.1) ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะทั้งศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์นั้นมีจุดกำเนิดอยู่ในดินแดนเดียวกัน
                  นั่นคือ ประเทศอินเดีย ทำให้คำสอนของศาสนาทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน ซึ่งในส่วนของฝ่าย
                  ศาสนาพราหมณ์นั้น คำสอนสำคัญที่ทำให้พระมหากษัตริย์มีความเป็นธรรมราชา นั่นก็คือ

                  จักรวรรดิวัตร ส่วนฝ่ายศาสนาพุทธ คำสอนสำคัญสำหรับพระมหากษัตริย์ผู้เป็นธรรมราชาก็คือ
                  ทศพิธราชธรรม อีกทั้งในศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธยังมีการกล่าวถึงเรื่องราวของธรรม

                  ราชาไว้ในคัมภีร์ที่เกี่ยวกับศาสนาอยู่หลายตอน สำหรับในกรณีของศาสนาพราหมณ์นั้น ก็มีการ
                  กล่าวไว้ในคัมภีร์ภควคีตา ในตอนที่พระกฤษณะสอนท้าวอรชุนเกี่ยวกับการทำสงคราม รวมถึง
                  คัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ และราชนิติ ก็ได้มีการกล่าวถึงอุบายในการปกครองโดย

                  ธรรมไว้ด้วย ส่วนศาสนาพุทธก็ได้มีการกล่าวถึงธรรมราชาไว้หลายตอน ส่วนมากเรื่องราวดังกล่าว
                  มักจะอยู่ในชาดกที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระชาติต่างๆของพระพุทธเจ้า เช่น ในมหาปทานสูตร

                  พระพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าในอดีตว่าเป็นผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
                  ลักษณะดังกล่าวนี้ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ก็จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม ถ้าออกบวชก็จะได้เป็น
                  พระพุทธเจ้า (ปรีชา ช้างขวัญยืน, 2542, น.11)


                       เมื่อสังเกตถึงพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ในคติความเชื่อแบบศาสนาพราหมณ์และ
                  ศาสนาพุทธแล้ว ก็จะกล่าวได้ว่า มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ นั่นคือ ศาสนาพราหมณ์จะถือว่า

                  พระมหากษัตริย์เป็นพระผู้เป็นเจ้าอวตารลงมาเกิด เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้กับอาณา
                  ประชาราษฎร์ ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงอยู่ในฐานะสมมุติเทพ ส่วนในศาสนาพุทธถือว่า

                  พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีบุญบารมีมาเกิด ดังจะเห็นได้จากคติเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิที่ในคติของ
                  ศาสนาพุทธถือเป็นหนึ่งในถูปารหบุคคล นั้นคือ บุคคลที่ควรสร้างสถูปไว้บูชา ซึ่งจากคติดังกล่าว
                  ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าจักรพรรดิตามคติของศาสนาพุทธเป็นบุคคลที่สมควรได้รับการยกย่อง

                  ในฐานะของการบำเพ็ญคุณงามความดี มิใช่ในฐานะของสมมุติเทพอย่างในศาสนาพราหมณ์
                  เพราะพระเจ้าจักรพรรดิเป็นพระมหากษัตริย์ที่สร้างพระบารมีขึ้นจากการใช้ธรรมะในการปกครอง

                  มิใช่พระบารมีที่เกิดมาจากอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น จึงเรียกได้ว่า พระมหากษัตริย์ตามคติ
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   ที่ประชาชนทั้งปวงยอมรับ (ประมวล รุจนเสรี, 2548, น.18-19) และเมื่อย้อนมาดูถึงพระราช
                  แบบพุทธนั้นทรงมี “ธรรมะศาสตรา” เป็นอาวุธ คือ การใช้ธรรมะเป็นเครื่องกำกับการใช้อำนาจ
                  ในการปกครอง ดั่งบิดาปกครองบุตร และอเนกชนนิกรสโมสรสมมุติ คือ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน



                  สถานะของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยพระศรีอยุธยาลงมาจนถึงปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ว่า

                  พระมหากษัตริย์ของไทยทรงดำรงอยู่ทั้งในคติความเชื่อแบบศาสนาพราหมณ์และคติความเชื่อแบบ
                  ศาสนาพุทธ นั่นคือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นทั้งสมมุติเทพที่อวตารมาจากพระผู้เป็นเจ้า และเป็น
   194   195   196   197   198   199   200   201   202   203   204