Page 200 - kpi15476
P. 200
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15 199
พระมหาจักรพรรดิที่มีธรรมะศาสตราในการปกครอง สำหรับตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพระราช
สถานะที่ผสมผสานระหว่างคติใน 2 ศาสนาก็เช่น พระนามของพระมหากษัตริย์ไทยแต่ละ
พระองค์ในราชวงศ์ต่างๆ ที่มักมีคำที่แสดงให้เห็นถึงคติแบบพราหมณ์และคติแบบพุทธ เช่น
สมเด็จพระมหาธรรมราชา สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สมเด็จพระรามาธิบดี สมเด็จพระนารายณ์
มหาราช สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ฯลฯ จากพระนามของพระมหา
กษัตริย์ไทยที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า พระนามของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ที่กล่าวมา
พระนามของบางพระองค์ก็แสดงคติแบบพราหมณ์ พระนามของบางพระองค์ก็แสดงคติแบบพุทธ
นั่นแสดงว่า สังคมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามีการผสมผสานคติความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา
พราหมณ์และศาสนาพุทธอย่างชัดเจน หรือในกรณีของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ก็มีการจัดทั้ง
พิธีของฝ่ายศาสนาพราหมณ์และฝ่ายศาสนาพุทธ โดยในฝ่ายศาสนาพราหมณ์นั้น พราหมณ์
จะเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ อันหมายถึง เครื่องหมายแสดงความเป็น
พระมหากษัตริย์ และประกอบพิธีแบบพราหมณ์ ส่วนฝ่ายศาสนาพุทธ มีการเจริญพระพุทธมนต์
ของพระสงฆ์
จากที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า คติของศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธได้ผสมผสานอยู่ใน
สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างแนบแน่น เราจึงสมควรมอง “ธรรมราชา” ตามแบบของไทย
ในฐานะผลผลิตของทั้งสองศาสนา เพราะแม้ศาสนาพราหมณ์จะถือว่า พระมหากษัตริย์คือ
พระผู้เป็นเจ้าอวตารลงมาเกิด แต่ศาสนาพราหมณ์ก็มิได้ปฏิเสธการมีอยู่ของหลักธรรมที่ว่าด้วย
ข้อปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ ลักษณะเช่นนี้ ทำให้กล่าวได้ว่า ศาสนาพราหมณ์ก็มีการเน้น
“การเอาชนะใจ” ผู้ใต้ปกครองเพื่อสร้างบารมีเหมือนศาสนาพุทธเช่นกัน มิได้ถือว่าพระมหากษัตริย์
คือผู้ที่มีอำนาจเด็ดขาดแบบที่อิงกับอำนาจเหนือธรรมชาติเพียงอย่างเดียว โดยมีนักวิชาการ
สันนิษฐานว่า คติธรรมราชาหรือธรรมิกราชในสังคมไทยนี้เกิดขึ้นเมื่อไทยได้รับวัฒนธรรมมอญ
แห่งคัมภีร์พระธรรมศาสตร์เข้ามาเจือปน ซึ่งธรรมิกราชในที่นี้หมายถึง พระราชาผู้เคร่งครัดใน
ธรรมดุจดังพระมหาสมมุติราชแห่งคัมภีร์พระธรรมศาสตร์นั้น (ทองต่อ กล้วยไม้ ณ อยุธยา,
2539, น.77) อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการที่คัมภีร์พระธรรมศาสตร์จะได้บอกกล่าวถึงหลัก
การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์ไว้แล้ว ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระมหากษัตริย์ของไทยยังได้มี
การออกกฎมณเฑียรบาล เพื่อป้องกันมิให้พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจในทางที่ผิดไว้เป็น
พระราชศาสตร์ ดังความว่า
“...พระเจ้าอยู่หัวดำรัสด้วยกิจการคดีถ้อยความประการใดๆ ต้องกฎหมายประเพณี
เป็นการยุติธรรมแล้วให้กระทำตาม ถ้ามิชอบจงอาจเพ็ดทูลทัดทานครั้งหนึ่ง สองครั้ง
สามครั้ง ถ้ามิฟังให้รอไว้อย่าเพิ่งสั่งไป ให้ทูลที่รโหฐาน ถ้ามิฟังจึงให้กระทำตาม ถ้าผู้ใดมิได้
กระทำตามพระอัยการดั่งนี้ ท่านว่าผู้นั้นละเมิดพระราชอาญา” และ “อนึ่ง ทรงพระโกรธ
แก่ผู้ใดและตรัสเรียกพระแสง อย่าให้เจ้าพนักงานยื่น ถ้ายื่นโทษถึงตาย” (ประมวล
รุจนเสรี, 2548, น.19-20)
จากกฎมณเฑียรบาลข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการที่พระมหากษัตริย์ของไทยในสมัย เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
กรุงศรีอยุธยามีการสร้างกลไกขึ้นมาปกป้องการกระทำของพระองค์เองด้วย แม้พระองค์จะทรง