Page 412 - kpi15476
P. 412

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   411


                                ความมั่นคงของแผ่นดิน เนื่องจากพระองค์เองก็ได้ทรงมีพระราชดำริในเรื่องการ
                                เปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน และทรงแจ้งด้วยว่าพระองค์เองก็ไม่ได้มี

                                ความทะเยอทะยานอันใดมากกว่าทรงอยากเห็นความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
                                อย่างไรก็ตาม ทรงปฏิเสธที่จะเสด็จกลับพร้อมเรือรบที่คณะผู้ก่อการส่งมาแต่จะเสด็จ
                                กลับโดยรถไฟพระที่นั่งของพระองค์ การแสดงออกด้วยขันติธรรมดังกล่าวทำให้คณะ

                                ผู้ก่อการขอเข้าเฝ้าและขอพระราชทานอภัยโทษที่ได้กระทำการจาบจ้วงและแถลงการณ์
                                ให้ร้ายต่อราชวงศ์ด้วย ทรงขอให้ปล่อยพระบรมวงศานุวงศ์จากที่คุมขังและให้เจ้านาย

                                ที่ทรงมีอิทธิพลทางทหารและพลเรือนเสด็จไปอยู่ต่างประเทศ

                            หลังจากที่ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวแล้ว พระบาทสมเด็จ

                      พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงดำเนินการเจรจาโต้ตอบด้วยหลักขันติธรรมกับคณะผู้ก่อการและ
                      รัฐบาลในประเด็นต่างๆเกี่ยวกับพระราชอำนาจและศักดิ์ศรีของพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

                      ที่ร่างขึ้นในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญของสภาผู้แทนราษฎรที่คณะ
                      ผู้ก่อการแต่งตั้งขึ้น โดยการเจรจาโต้ตอบกันไปมานั้นใช้เวลาเกือบ 6 เดือน จนในที่สุดก็มี
                      รัฐธรรมที่ทั้งสองฝ่ายเห็นต้องกันได้ จึงได้มีการจัดพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญขึ้น

                      เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1932


                            อย่างไรก็ตาม ตลอดปี ค.ศ. 1933 ก็ยังมีความแตกอย่างกันในทางความคิดหลายประเด็น
                      ระหว่างบุคคลในคณะผู้ก่อการและคณะรัฐบาลที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ
                      ไม่นานก็นำไปสู่การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นครั้งที่สองและปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีใหม่ ความ

                      สับสนในแนวนโยบายการปกครองแบบใหม่ยังมีอยู่ต่อไป จนกระทั่งเกิดกบฏพระองค์เจ้าบวรเดช
                      ขึ้นในเดือนตุลาคม 1933โดยเริ่มมาจากจังหวัดนครราชสีมา และไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่ง

                      พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเข้าไปเกี่ยวข้องสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ได้เสด็จลงเรือไปประทับที่
                      สงขลาอยู่สองเดือน และทรงประกาศภายหลังว่าไม่ทรงสนับสนุนการก่อการรุนแรงจนเสียเลือดเนื้อ


                            และหลังจากนั้น พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงอดทน ทรงเขียนบันทึกแสดงความคิดเห็น
                      และยืนยันในประเด็นที่ทรงเห็นว่ามีความสำคัญมากในระบอบการปกครองใหม่ ที่พึงมีความสมดุล

                      ระหว่างความรับผิดชอบกับอำนาจหน้าที่ อย่างไรก็ดี ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ตอบรับข้อเสนอแนะและ
                      ความคิดเห็นของพระองค์ ซึ่งรายละเอียดในเรื่องนี้มีนักวิชาการหลายท่านทั้งไทยและต่างประเทศ
                      ศึกษาและวิเคราะห์ไว้แล้ว แต่ประเด็นที่ควรเน้นไว้ในที่นี้ก็คือ ทรงยืนหยัดในแนวทางสันติและ

                      ขันติโดยตลอด


                            ในเดือนมกราคม 1934 ได้มีพระราชดำรัสอำลาประชาชนและเสด็จพระราชดำเนินทางเรือ
                      ออกจากพระนครเพื่อรักษาพระเนตรหลังการผ่าตัด ในการนี้ได้เสด็จเจริญพระราชไมตรีกับ

                      ประเทศต่างๆ ในยุโรปในฐานะกษัตริย์ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญพระองค์แรกของสยาม อีกทั้ง
                      เพื่อทอดพระเนตรความก้าวหน้าอีกทั้งพบปะผู้นำทางการเมืองในประเทศที่ได้การปฏิรูป
                      เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตยเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้ว ในขณะเดียวกัน

                      ทรงยังติดตามความก้าวหน้าทางการเมืองในประเทศไทยผ่านเอกสารรายงานต่างๆ เช่น รายงาน                    เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
                      การประชุมสภาผู้แทน และทรงมีพระราชบันทึกแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ทรงเห็นว่าสำคัญ
   407   408   409   410   411   412   413   414   415   416   417