Page 624 - kpi17968
P. 624

613




                   กฎหมายมาบังคับกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัวจึงไม่เหมาะสม

                   เนื่องจากกฎหมายอาญามีเจตนารมณ์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดมากกว่าที่จะ
                   แก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดหรือปกป้องคุ้มครอง ผู้ที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงใน
                   ครอบครัว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

                   ได้ทรงมอบหมายให้สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนิน
                   กิจกรรมต่างๆ เช่นโครงการรณรงค์ “หนึ่งเสียง หยุดความรุนแรงต่อผู้หญิง”
                   (Say NO to Violence Against Women) เพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง

                   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับเปลี่ยนทัศนคติให้ประชาชนเห็นว่าการกระทำความ
                   รุนแรงต่อผู้หญิงเป็นรูปแบบหนึ่งของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นปัญหา
                   สังคม ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวอีกต่อไป โดยจัดกิจกรรมต่างๆในทุกจังหวัดทั่วประเทศ

                   เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักโดยใช้โมบายกระดิ่ง 100,000 อัน ที่พระองค์ทรง
                   ประทานให้เป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์สร้างเครือข่ายยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงใน
                   ทุกครัวเรือนโดยมีแนวคิดว่า “เสียงของกระดิ่งจะเป็นการเตือนให้คนในครัวเรือน

                   มีสติ ยั้งคิด ยั้งทำ และไม่กระทำความรุนแรงต่อผู้อื่นในทุกรูปแบบ ทั้งร่วมเป็น
                   กำลังเฝ้าระวังไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงขึ้นในชุมชนของตน เพื่อให้การ
                   ดำเนินงานด้านการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

                   และมีประสิทธิภาพ”

                         สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้จัดตั้งสำนักงานกิจการและโครงการในพระดำริ

                   พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา (ส.พ.ภ.) ขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.
                   2554 โดยมีภารกิจหลักประการหนึ่ง คือ การประสานการดำเนินงานกับ
                   หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสานงานกับ

                   UN Women ในการทำโครงการหรือกิจกรรมเพื่อรณรงค์ยุติการกระทำความ
                   รุนแรงต่อผู้หญิง เพื่อจะรวมพลังการทำงานด้านการยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง
                   ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด  ซึ่งสอดคล้องกับการที่ประเทศไทยได้มีการใช้แผน

                   สิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นฉบับที่ 2 (กรมส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพ,2558)
                   เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552-2556 มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นเครื่องมือ
                   หนึ่งให้กับองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และ

                   ภาคประชาชน เพื่อนำไปใช้ ส่งเสริม ปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้แก่







                                                                 บทความที่ผานการพิจารณา
   619   620   621   622   623   624   625   626   627   628   629