Page 100 - kpi20686
P. 100
ห น้ า | 90
4. ระดับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ก็ต้องคุณสมบัติสูงขึ้น
พ.ร.ป.ป.ป.ช. ฉบับใหม่ ไม่เพียงคาดหวังแต่จากตัวกรรมการเก้าคนเท่านั้น แต่ยังคาดหวัง
ความเป็นองค์กร “เทวดา” จากระดับเจ้าหน้าที่ด้วย โดยมาตรา 146 ก าหนดให้ข้าราชการส านักงาน
สาขากระบวนการยุติธรรม ต้องส าเร็จปริญญาโททางกฎหมายขึ้นหรือ หรือสอบได้เป็นเนติบัญฑิต
หรือหากจบปริญญาตรีทางกฎหมายก็ต้องจบปริญญาสาขาอื่นด้วย
ส าหรับต าแหน่งเลขาธิการ ที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างทั้งหมด ให้ผ่าน
การเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งด้วย โดยมี
มาตรา 149 เขียนบรรยายคุณสมบัติไว้ว่า
“....เลขาธิการต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ปฏิบัติหน้าที่และใช้อ านาจ
โดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ เป็นกลาง มีจริยธรรมที่ดี และปราศจากอคติทั้งปวง และมีคุณวุฒิ
ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญอันจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติงานของส านักงานตามที่
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ก าหนด...”
5. วางกลไกแน่นหนา ประชาชน 20,000 เข้าชื่อตรวจสอบกรรมการ ป.ป.ช. ได้
พ.ร.ป.ป.ป.ช. ฉบับใหม่ ถึงกับเขียนแยกไว้เป็น หมวดที่ 1 ส่วนที่ 3 ว่าด้วยเรื่องการ
ตรวจสอบการท างานของกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีมาตรา 43 ก าหนดให้กรรมการ ป.ป.ช.ทุกคน มี
หน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพยสินและหนี้สินต่อประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นหน้าที่เช่นเดียวกับตามกฎหมายเดิม
แต่ส่วนที่เพิ่มเติม คือ ให้ประธานวุฒิสภามีอ านาจแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน
อีกชุดหนึ่ง ขึ้นมาท าการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนได้
กรณีที่กรรมการ ป.ป.ช. มีพฤติการณ์ร่ ารวยผิดปกติ หรือทุจริตต่อหน้าที่เสียเอง มาตรา 45
ก าหนดให้สมาชิกรัฐสภาจ านวนหนึ่งในห้าของสมาชิกที่มีอยู่ หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 20,000
คนสามารถเข้าชื่อกันยื่นต่อประธานรัฐสภาได้ หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัย ก็ให้เสนอ
เรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระขึ้นสอบสวนกรณีนี้ ซึ่งเป็นกลไกพิเศษที่ก าหนด
ไว้ในกฎหมายว่าด้วยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะส าหรับกรณี
กรรมการ ป.ป.ช. เป็นผู้ถูกกล่าวหา
กลไกการเอาผิดและถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช. นั้น แตกต่างจากระบบเดิม เพราะกฎหมาย
เดิมวางกลไกแยกเป็นสองกรณี กรณีที่หนึ่ง หากกรรมการ ป.ป.ช. มีพฤติการณ์เสื่อมเสีย สมาชิก
รัฐสภาจ านวนหนึ่งในสี่ หรือประชาชน 20,000 คนสามารถเข้าชื่อกันยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา
เพื่อให้วุฒิสภาลงมติด้วยเสียงสามในสี่เพื่อถอดถอนออกจากต าแหน่ง กรณีที่สอง คือ หากกรรมการ
ป.ป.ช. ร่ ารวยผิดปกติ หรือทุจริตต่อหน้าที่เสียเอง สมาชิกรัฐสภาจ านวนหนึ่งในห้า สามารถเข้าชื่อยื่น
ต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมืองได้
โดยสรุป คือ พ.ร.ป.ป.ป.ช. ฉบับใหม่ ยกเลิกกลไกการถอดถอนโดยวุฒิสภาในกรณีที่หนึ่ง
ออกไปเลย เหลือเพียงการเอาผิดโดยกระบวนการศาลในกรณีที่สอง แต่สร้างระบบใหม่ คือ "คณะผู้ไต่
สวนอิสระ" ขึ้นมา และขณะที่รัฐธรรมนูญ 2560 ยกเลิกสิทธิของประชาชนที่จะเข้าชื่อกันเพื่อให้ถอด
ถอนผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมืองต าแหน่งอื่นไปแล้ว แต่ยังให้ประชาชนมีช่องทางมีส่วนร่วมตรวจสอบ
กรรมการ ป.ป.ช. ได้อยู่อีกองค์กรหนึ่ง