Page 229 - kpi20756
P. 229

การประชุมวิชาการ
                                                                                        สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21   22
                                                                                        ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย


                            ในขณะที่รัฐบาลของอีกหลายประเทศในลำดับท้ายๆ ตารางไม่ให้ความสนใจเอาใจใส่ต่อ
                      ประเด็นความเหลื่อมล้ำเท่าที่ควร เช่น ไนจีเรีย อุซเบกิสถาน ชาด สาธารณรัฐประชาธิปไตย

                      ประชาชนลาว สิงคโปร์ เป็นต้น สำหรับสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจสูง
                      ลำดับต้นๆ ของโลกแต่กลับเป็นประเทศที่ติดอันดับหนึ่งใน 10 ประเทศ ที่มีผลงานด้านการลด
                      ความเหลื่อมล้ำต่ำที่สุดเนื่องจากมีการนำตัวชี้วัดตัวใหม่ด้านการปฏิบัติทางภาษีที่ส่งผลเสียต่อ

                      การลดความเหลื่อมล้ำอาทิ การเพิ่มภาษีรายได้ส่วนบุคคลร้อยละ 2 แต่อัตราสูงสุดสำหรับคนที่มี
                      รายได้สูงสุดยังคงที่ในระดับต่ำที่สุดร้อยละ 22 และการที่ได้รับคะแนนที่ต่ำยังเป็นผลมาจาก

                      รายจ่ายสาธารณะทางด้านสังคม (การศึกษา สาธารณะสุขและการคุ้มครองทางสังคม) มีเพียง
                      ร้อยละ 39 เปรียบเทียบกับร้อยละ 50 ของสาธารณรัฐเกาหลีและไทย (Oxfam International,
                      2018, p.10)  และยังมีรัฐบาลของประเทศร่ำรวยเช่น สหรัฐอเมริกา สเปน ไม่ได้ให้ความสำคัญ

                      กับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังมากนักเช่นกัน (Oxfam International, 2018,
                      p.9)


                            เมื่อนำประเด็นความเหลื่อมล้ำมาพิจารณาจะพบว่า ประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ถูกกล่าวถึงกัน
                      มาก ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ (Economic Inequality) โดยที่ความเหลื่อมล้ำทาง

                      รายได้ปรากฏว่า ในปี 1820 อัตราส่วนระหว่างร้อยละ 20 ของคนที่รวยที่สุดกับคนที่จนที่สุดของ
                      ประชากรโลกอยู่ที่สามต่อหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปถึงปี 1991 อัตราส่วนเปลี่ยนเป็นแปดสิบหก

                      ต่อหนึ่ง (Wikipedia, 2019) ซึ่งเท่ากับว่าช่องว่างรายได้ระหว่างกลุ่มคนรวยที่สุดร้อยละ 20
                      ของโลกกับกลุ่มคนยากจนร้อยละ 20 ขยายห่างออกไปอย่างมาก ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจของโลกเติบโต
                      ขึ้นมาโดยตลอดเป็นส่วนใหญ่


                            จากการศึกษาของ World Inequality Lab ในปี 2018 พบว่า ความเหลื่อมล้ำทางความ

                      มั่งคั่ง (Wealth Inequality) ยังเกิดขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของโลกแตกต่างเพียงระดับความมั่งคั่งที่
                      ต่างกันเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า ช่องว่างของความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง (ซึ่งไม่ใช่เฉพาะ
                      รายได้เท่านั้นแต่ยังรวมถึงสินทรัพย์อื่นด้วย) ที่เกิดขึ้นในแต่ละสังคมประเทศได้เกิดขึ้นและขยาย

                      ตัวในอัตราความเร็วที่ต่างกันไม่เว้นแม้กับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก
                      เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น โดย World Inequality Lab พบว่า

                      ร้อยละ 10 ของคนที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนมีความมั่งคั่งถึง
                      ร้อยละ 70 ของคนทั้งประเทศ และสหรัฐอเมริกา คนที่มีความมั่งคั่งต่ำสุดร้อยละ 50 มีความ
                      มั่งคั่งเพียงร้อยละ 2 ของทั้งประเทศ ในขณะที่ในภาพรวมของทั้งโลกพบว่า คนมั่งคั่งชั้นกลาง

                      ร้อยละ 40 มีความมั่งคั่งร้อยละ 30 ของทั้งโลก (Facundo Alvaredo and others, 2019)


                            นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีความ
                      เหลื่อมล้ำอีกสองประการที่สำคัญคือ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความเหลื่อมล้ำทางการเมือง
                      ซึ่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นความเหลื่อมล้ำที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความเหลื่อมล้ำทาง

                      เศรษฐกิจ กล่าวคือ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นทั้งเหตุและผลของความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น
                      ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า ความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากโอกาสและ               เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5

                      การจัดสรรทรัพยากรหรือสิ่งมีคุณค่าในสังคมไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะบริการสาธารณะของรัฐ
   224   225   226   227   228   229   230   231   232   233   234