Page 267 - kpi20756
P. 267

การประชุมวิชาการ
                                                                                        สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21   2 7
                                                                                        ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย


                      กับบริบทต่างๆ ของเมือง เช่น สิ่งของ ผู้คน ระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างกัน
                      การที่ทำให้เมืองอัจฉริยะไปได้ดี การตั้งเป้าหมายคือเริ่มต้นไปมองปัญหาของเมืองและทาง

                      แก้ปัญหาของเมืองให้ชัดเจน (Hebe Verrest and Karikn Pfeffer, 2019)

                            ข้อสังเกตที่ต่อเนื่องจากที่กล่าวมา กลุ่มคนได้ประโยชน์จากนโยบายเมืองอัจฉริยะอาจจะไป

                      กระจุกตัว แค่คนกลุ่มน้อย ผลประโยชน์ไม่ได้ไปถึงกับคนในวงกว้างที่อยู่ในเมือง อาจเป็นแค่กลุ่ม
                      ทุนท้องถิ่น กลุ่มธุรกิจระดับกลางถึงระดับใหญ่ขึ้นไป กลุ่มโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งยัง

                      สะท้อนมาการจัดการทางปกครอง นโยบายเมืองอัจฉริยะในขั้นตอนการพัฒนานโยบาย ดูเหมือนว่า
                      มีการแสวงหาการมีส่วนร่วมจากคนในเมืองและมีความโปร่งใส แต่มีลักษณะการตัดสินใจแบบ
                      บนลงล่าง (top-down) มีฐานคิดในการหวังเพื่อขยายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและขยาย

                      ผลประโยชน์ในเชิงพื้นที่ ไม่ได้สนใจแรงผลักดันทางการเมืองแรงกดดันของภาคประชาสังคมและ
                      ความโปร่งใส่ของกระบวนการ (Tan Yigitcanlar, 2015) และขาดการมีส่วนร่วมและผนึกกำลัง

                      กันเพื่อตัดสินใจเชิงนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ ปัจจัยที่เป็นผลสำเร็จที่ควรตั้งคำถามกับการพัฒนา
                      เมืองเช่นนี้ คือความไว้วางใจและสนับสนุนของคนในเมืองซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับความ
                      สำเร็จของเมืองอัจฉริยะ(Yigiticanda T. and S. Lee, 2014) แล้วจำเป็นต้องอาศัยความมี

                      เสถียรภาพทางการเมืองจึงทำให้เมืองอัจฉริยะประสบผลสำเร็จ

                      6.4 นโยบายเมืองอัจฉริยะกับความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะและ

                      การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

                            กรณีเมืองอัจฉริยะในประเด็นเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะและ

                      การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เมื่อมีการประกาศว่าจังหวัดใดจะนำโครงการนี้ลงสู่การปฏิบัติ
                      ในพื้นที่จะเห็นได้จากการบรรจุเรื่องนี้ลงในแผนพัฒนาจังหวัดหรือแผนพัฒนาองค์กรปกครอง

                      ส่วนท้องถิ่น เมื่อความต้องการพัฒนาพื้นที่ถูกกำหนดเป็นวาระสำคัญในการขับเคลื่อนเมือง
                      อาจทำให้การจัดทำบริการสาธารณะแบบเดิมที่รัฐเคยทำแต่ผู้เดียวโดยไม่มีคู่แข่ง อาจจะทำให้
                      ภาคเอกชนเสนอตัวเข้ามาจัดทำบริการสาธารณะเฉกเช่นเดียวกับภาครัฐมากขึ้น


                            แม้จะทำให้ประชาชนสามารถเลือกใช้บริการที่หลากหลายได้มากขึ้น หากแต่ค่าบริการ
                      ในการเข้าถึงสิ่งเหล่านั้นควรเป็นไปในทิศทางใด เพราะแม้เริ่มต้นของการนำบริการมาสู่คนเมือง

                      อาจมีราคาที่ไม่สูงมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหากขาดมาตรฐาน กฎหมาย หรือหน่วยงานที่เข้ามา
                      กำกับดูแล ก็อาจทำให้ประชาชนไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะเข้าถึงบริการเหล่านั้นที่อาจปรับตัวสูง

                      ขึ้น หรืออาจเข้าถึงได้ แต่จะทำให้ประชาชนได้รับบริการอย่างเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ เช่น
                      บริการขนส่งทางราง แท็กซี่แบบสมาร์ท เป็นต้น ส่วนข้อกังวลที่จะตามมา คือ บริการสาธารณะ
                      ที่เกิดขึ้นในเมืองอัจฉริยะอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอาจเชื่อมโยงกันจนนำไปสู่การผูกขาดของ

                      กลุ่มทุน และอาจทำให้ประชากรที่มีรายได้น้อยมิอาจพัฒนาบริการเข้าสู้กับทุนขนาดใหญ่ได้
                      จนอาจทำให้สูญเสียรายได้และต้องเลิกล้มการประกอบอาชีพนั้น นอกจากนี้การสมัครใช้บริการ

                      ของเมืองอาจนำมาสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลได้ เนื่องจากการใช้ระบบเทคโนโลยี
                      สารสนเทศที่เชื่อมฐานข้อมูลที่ให้บริการเข้าด้วยกันย่อมทำให้อาจเกิดการซื้อขายข้อมูลเหมือนดังที่      เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5
   262   263   264   265   266   267   268   269   270   271   272