Page 265 - kpi20756
P. 265
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21 2
ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย
เพราะเชื่อว่าการพัฒนาของประเทศไทยส่วนใหญ่จะมาจากส่วนกลาง แต่คนที่รู้จักปัญหาที่สุดคือ
คนในท้องถิ่น ซึ่งในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนใหญ่การพัฒนาพื้นที่เหล่านี้ก็มาจากท้องถิ่น
จึงมีความคิดอยากให้คนในท้องถิ่นสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และเป็นการลดภาระการสนับสนุน
และช่วยเหลือต่างๆ จากส่วนกลาง อันเป็นที่มาของกลุ่มพัฒนาเมือง (กมลพงษ์ สงวนตระกูล
สัมภาษณ์, 2562) กลุ่มทุนท้องถิ่นและชนชั้นนำในท้องถิ่นเป็นกลุ่มแรกที่เห็นถึงความสำคัญของ
การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ไม่ได้มีภาคส่วนต่างๆ เข้ามาทำงานร่วมกัน แต่ต่อมาเมื่อต้องการให้
พื้นที่พัฒนาโครงการเมืองอัจฉริยะด้วยการทำงานร่วมกับท้องถิ่น ส่วนจังหวัด องค์กรการศึกษา
มหาวิทยาลัยต่างในจังหวัด การจัดตั้งบริษัทฯ ขึ้นมาก็เพื่อให้เราได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนในส่วนของ
การค้นคว้า หาข้อมูล หรือวิธีการทำงานร่วมกับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระดับจังหวัด
รวมไปถึงการที่จะหาข้อมูลมาสนับสนุน การประชุมร่วมกัน ทุกอย่างต้องดำเนินการโดยผ่าน
ผู้ว่าราชการจังหวัด และทุกโครงการจะมีการทำงานร่วมกัน (กังวาน เหล่าวิโรจนกุล สัมภาษณ์,
2562) นับว่าเป็นตัวแบบที่ดีที่ดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำโครงการเมืองอัจฉริยะ
แต่อย่างไรก็ตามในการขยายไปในจังหวัดอื่นๆ เป็นการจัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริม
เศรษฐกิจดิจิทัล(Depa) ให้ดำเนินการผ่านหน่วยงานราชการ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย มีการวางยุทธศาสตร์จากส่วนกลาง อบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้ความเข้าใจ
และทักษะการพัฒนาจังหวัดตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการเมืองอัจฉริยะ กำหนดกลุ่มผู้ที่จะ
สมัครเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนใหญ่หน่วยงานที่เป็นนิติบุคคล ในส่วนภาคประชาสังคมหรือ
ภาคประชาชน จะเป็นกลุ่มนิติบุคคลเช่นกัน เช่น หอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรม สภาท่องเที่ยว
(สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในระบบราชาการ (สปร.), 2562, หน้า 6) ส่วนกลุ่ม
ผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องก็เป็นการกำหนดในภาพกว้างเท่านั้น ไม่ได้ชัดเจน ไม่ได้กว้างขวางมากพอ
สำหรับคนเมืองที่เป็นการขยายนโยบายพัฒนาเมืองอัจฉริยะจังหวัดอื่นๆ ไม่ได้สร้างความรับรู้และ
เข้าถึงข้อมูล แลกเปลี่ยนความคิดเห็นมากพอสำหรับจังหวัดต่างๆ เป็นเพียงแค่การจัดงานสัมมนา
เชิงปฏิบัติการ “Smart City Thailand Roadshow” ในจังหวัดต่างๆ ของสำนักงานส่งเสริม
เศรษฐกิจดิจิทัลเท่านั้น ซึ่งกลุ่มที่เข้าร่วมยังเป็นกลุ่มทุน ชนชั้นนำท้องถิ่น และกลุ่มหน่วยงาน
นิติบุคคลเช่นเดิม ไม่ได้มีความหลากหลายจากภาคประชาสังคมหรือภาคประชาชนมากนัก
นอกจากนี้นโยบายเมืองอัจฉริยะขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัล กล่าวคือ ในการพัฒนาเมือง
อัจฉริยะหรือสมาร์ทซิตี้ การวางโครงสร้างระบบไอทีที่ทันสมัย โดยเฉพาะระบบ 5 จี เป็นเรื่อง
ที่สำคัญ เพราะระบบดิจิทัลต่างจะต้องสื่อสารส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็ว เนื่องจากทำให้อุปกรณ์ไอที
เชื่อมโยงกันได้หลายล้านชิ้น ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ใช้พลังงานลดลงสามารถติดตั้งเซ็นเซอร์ต่างๆ
ได้มากขึ้น เช่น การนำรถยนต์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนได้เองเข้ามาใช้ในพื้นที่ จำเป็นจะต้องมีระบบ
5 จี เข้ามารองรับ ดังนั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิตอลจึงเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของคนเมือง
ทุกคนย่อมมีโอกาสเข้าถึงไม่เท่าเทียมกันทั้งในเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สอดคล้องกับรายงาน
ความเหลื่อมล้ำของเมืองที่ชี้ว่ายิ่งก้าวหน้าขึ้นมากเท่าไหร่ ความเหลื่อมล้ำจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
เพราะข้อมูลและแอปพลิเคชันใหม่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงมากขึ้น ดังนั้น การเข้าถึง
อินเทอร์เน็ตอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องมีการยกระดับเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลาด้วย เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5
(ฐิติวัฒน์ นงนุช และณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์, 2560)