Page 28 - b29259_Fulltext
P. 28

หรือบุคคล ๆ เดียว เพราะจะนำาพาไปสู่การปกครองแบบทรราชย์ (Tyranny)
                                                                  30
        อันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ดังนั้น จึงมี
        การพัฒนาหลักคิดมาจนถึงปัจจุบันโดยมีสาระสำาคัญว่า อำานาจจะต้อง

        ถูกกระจาย หรือแบ่งปันไป (Division of Powers) ไม่รวมศูนย์อยู่ที่กลุ่ม
        บุคคลใด หรือบุคคลใด  เมื่อพิจารณาผ่านพันธกิจการปกครองของรัฐ
                            31
        อันประกอบไปด้วยหน้าที่ที่ผิดแผกแตกต่างกัน กล่าวคือ หน้าที่ในการตรา

        กฎบัตรกฎหมาย หน้าที่ในการบริหารประเทศ และหน้าที่ในการตัดสิน
        ข้อพิพาทต่าง ๆ อำานาจรัฐก็จะถูกกระจายจัดแบ่งไปยังฝ่ายนิติบัญญัติ

        (Legislative) ฝ่ายบริหาร (Executive) และฝ่ายตุลาการ (Judiciary) แล้ว
        แต่กรณีเพื่อทำาหน้าที่ข้างต้น
                               32

               อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการกระจายอำานาจสำาหรับทำาหน้าที่หลัก
        ทั้งสามหน้าที่ในการปกครองแล้ว การมุ่งเน้นเฉพาะภารกิจแต่ละส่วนแต่
        เพียงอย่างเดียวโดยไร้ขอบเขตจำากัดอาจก่อให้เกิดสภาวะที่องค์กรนั้น ๆ

        ใช้อำานาจของตนเองตามอำาเภอใจ (Arbitrary Power)  ซึ่งจะส่งผลให้
                                                      33
        เป็นการกระทบต่อการใช้อำานาจขององค์กรอื่นอย่างหลีกเลี่ยงได้ผ่าน

        รูปแบบต่าง ๆ ระบบของการตรวจสอบถ่วงดุล (Checks and Balances)
        ระหว่างองค์กรจึงถือกำาเนิดขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ก็ยังคง

        30   Richard Benwell and Oonagh Gay, The Separation of Powers,
        Parliament and Constitution Centre 1 (2011).
        31   M. J. C. Vile, Constitutionalism and the Separation of Powers 5 (1998).
        32   “หลักการแบ่งแยกอำานาจ” หรือ “Separation of Powers” นี้ถูกเรียก
        อีกชื่อหนึ่งผ่านการพิจารณาผ่านพันธกิจของรัฐว่า “หลักการเมืองแบบ 3 อำานาจ”
        หรือ “The Trias Politica”
        33   Michael Teler, Gridlock, Legislative Supremacy, and the Problem
        of Arbitrary Inaction, Vol.88 Notre Dame L. Rev. 2217 (2013).


     28
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33