Page 188 - kpiebook62016
P. 188
171
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ส่งผลให้ยูเครนมีความแตกต่างหลากหลายทางชาติพันธุ์
ประชาชนยูเครนประกอบด้วยเชื้อชาติหลักๆ เช่น ชาวสลาฟ ชาวรุสเคียฟ (Kievan Rus) ชาวตาตาร์
ชาวมองโกล เป็นต้น และมีอาณาจักรโบราณชื่อว่า “อาณาจักรเคียฟ” ซึ่งได้ล่มสลายลงจากการรุกราน
ของทั้งมองโกลและรัสเซีย จนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ภายใต้
สนธิสัญญาอันดรีโซโว (Treaty of Andrysovo) ค.ศ. 1667 เป็นต้นมา ในอดีต ได้มีความพยายามที่จะ
เคลื่อนไหวเพื่อแยกยูเครนให้เป็นประเทศอิสระหลายครั้ง เช่น กลุ่ม Ukrainian People's Republic
(ค.ศ. 1918) หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ประกาศเป็นเอกราชจากจักรวรรดิรัสเซีย แต่หลังจากการ
ปฏิวัติรัสเซียและการสถาปนาสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (Union of Soviet Socialist
Republics - USSR) หรือเรียกโดยย่อว่า สหภาพโซเวียต กองก าลังสหภาพโซเวียตได้เคลื่อนเข้ายึด
พื้นที่ 2 ใน 3 ของยูเครนตะวันออกที่เรียกว่า Ukrainian Soviet Socialist Republic ท าให้ยูเครน
กลับมาอยู่ภายใต้สหภาพโซเวียตอีกครั้งใน ค.ศ. 1921 (อีก 1 ใน 3 คือ ยูเครนตะวันตก กลายเป็นพื้นที่
ของโปแลนด์)
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนเป็นเสมือนรัฐกันชนให้กับสหภาพโซเวียตและนาซีเยอรมัน
ท าให้ต้องเจ็บปวดจากทั้งการล้อมฆ่าปัญญาชนในสมัยของสตาลิน ใน ค.ศ. 1937 และการเข้ามา
โจมตีของกลุ่มนาซีใน ค.ศ. 1941 ที่ชาวยิวในยูเครนถูกล้อมฆ่ากว่าล้านคน กรุงเคียฟถูกเผาท าลาย
และกองทัพเยอรมันยึดพื้นที่ในยูเครนไว้ได้ จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1945
ฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ท าให้สหภาพโซเวียตถือโอกาสยึดพื้นที่ยูเครนตะวันตกมาเป็นของ
สหภาพโซเวียตด้วย นอกจากนี้ ใน ค.ศ. 1954 ผู้น าสหภาพโซเวียต นีกีตา ครุชชอฟ (Nikita
Khrushchev) ได้มอบ “ของขวัญ” ให้กับยูเครนด้วยการผนวกสิทธิในคาบสมุทรไครเมีย (Crimean
peninsula) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน โดยคาบสมุทรไครเมียถือว่าเป็นพื้นที่ส าคัญในทาง
ภูมิรัฐศาสตร์ของยุโรปตะวันออก
หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมากว่า 30 ปี ได้เกิดกระแสของการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้อง
เอกราชให้กับรัฐที่เคยอยู่ในระบบจักรวรรดินิยม ยูเครนก็เช่นเดียวกัน การเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้รับเอกราช
จากสหภาพโซเวียตกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองระบอบ
ประชาธิปไตย