Page 157 - kpi15476
P. 157

15      การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                  (self-determination) ดังนั้น ไครเกอร์ (Leonard Krieger) จึงเห็นว่า ในการศึกษาทำความเข้าใจ
                  ต่อแนวคิด “enlightened despotism” สิ่งที่เราควรจะมองหาใน “enlightened despotism” จึง

                  ไม่ใช่ การนำจริยธรรมแห่ง “ภูมิธรรม” ไปปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริงในทางการเมือง หรือแม้กระทั่ง
                  หลักการแห่งเสรีนิยมที่เป็นผลที่ตามมาจากจริยธรรมแบบ “ภูมิธรรม” แต่สิ่งที่เราต้องมองหาคือ
                  รูปแบบที่เหล่ากษัตริย์ที่ได้ชื่อว่า “ทรงภูมิธรรม” ได้ประยุกต์ใช้มันในฐานะที่เป็นทฤษฎีแห่งความรู้

                  หรือญาณวิทยาต่อสภาพความเป็นจริงต่างๆในการเมืองสมัยใหม่ที่ไม่อ้างอิงพระผู้เป็นเจ้าหรือ
                  สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การเมืองที่เป็นเรื่องมนุษย์จริง (human politics) และ

                  ในฐานะทฤษฎีแห่งคุณค่าหรือจริยธรรมคุณธรรมในบริบทของการเมืองใหม่ดังกล่าว

                       และถ้าจะให้ตอบโจทย์ว่า ตกลงแล้วมันมีสิ่งที่เรียกว่า “enlightened despotism” ไหม?

                  ไครเกอร์ยืนยันว่า “ไม่มี” แต่เขากลับอธิบายและยืนยันว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงใน
                  ประวัติศาสตร์ยุโรปก็คือ “enlightened absolutism”?!


                       ไครเกอร์ ชี้ให้เห็นว่า คำว่า “enlightened” นี้มีสองนัยที่ซ้อนกันอยู่ นั่นคือ


                       นัยแรกที่เป็นนัยความหมายธรรมดา อันหมายถึงผู้ซึ่งมีสติปัญญาเหนือกว่าคนทั่วไปในการ
                  เข้าถึงความรู้ความจริง ซึ่งในทุกยุคทุกสมัยและในทุกๆประเทศก็จะมีคนบางคนที่ได้รับการยกย่อง

                  ว่า “รู้แจ้งเห็นจริง”  อย่างเช่น การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีที่แล้ว ฝรั่งใน
                  ปัจจุบันก็เรียกว่า “enlightened” หรืออย่างในกรณีของเซอร์โทมัส มอร์ (Sir Thomas More:
                  1478-1535) รัฐบุรุษและนักคิดทางการเมืองผู้แต่งนิยายการเมืองแนวอุดมคติเรื่อง “ยูโทเปีย”

                  (ตีพิมพ์ ค.ศ. 1516) ก็ขนานนามโดยนักวิชาการสมัยใหม่อย่างศาสตราจารย์นีล วู้ด
                  นักประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองแนวมาร์กซิสต์ชาวอเมริกัน (Neal Wood: 1922-2003)

                  ในหนังสือของเขาที่ชื่อ “Foundations of Political Economy: Some Early Tudor Views on
                  State and Society” (Berkeley: University of California Press: 1994) ว่าเป็นนักคิดแนว
                  “อนุรักษ์นิยมอย่างรู้แจ้งเห็นจริง” (“Enlightened Conservatism”) นั่นคือ การเป็นอนุรักษ์นิยม

                  ของเซอร์โทมัส มอร์มิได้มุ่งตอบสนององค์พระมหากษัตริย์ในฐานะตัวบุคคลเท่ากับจารีตประเพณี
                  ความถูกต้องของระบอบการปกครองดั้งเดิมภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของอังกฤษ หรือ

                  อย่างในกรณีของเจมส์ เมดิสัน (James Madison: 1751-1836) ผู้ซึ่งเป็นทั้งรัฐบุรุษ นักทฤษฎี
                  การเมืองและหนึ่งในผู้ร่างรัฐธรรมนูญอเมริกันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติ
                  อเมริกัน (the American Founding Fathers) และเป็นประธานาธิบดีคนที่สี่ของสหรัฐอเมริกา

                  เขาได้เขียนถึงผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างแท้จริงว่าเป็น “enlightened
                  statesmen” หรือ “รัฐบุรุษผู้รู้แจ้ง” (ดู the Federalist Papers, Number 10) อันหมายถึง

                  นักการเมืองที่ป็นตัวแทนประชาชนที่สามารถปรับผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันของประชาชน
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   “enlightened” กำกับความคิดของบุคคลในสามกรณีข้างต้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของพระพุทธ
                  กลุ่มต่างๆ ให้เป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้ผลประโยชน์สาธารณะ (the public good) การใช้คำว่า



                  เจ้าเมื่องสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว หรือกรณีของเซอร์โทมัส มอร์ในศตวรรษที่หก และของเจมส์
                  เมดิสันในศตวรรษที่สิบแปด ถือว่าเป็นการใช้ในความหมายปรกตินั่นคือ ความรู้แจ้งเห็นจริงตาม

                  นัยของความรู้ในบริบทนั้นๆ ของช่วงประวัติศาสตร์ หรือถ้าใครเชื่อว่า “ธรรมที่พระพุทธเจ้า
   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161   162