Page 159 - kpi15476
P. 159

15      การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15


                  อำนาจในตัวของมันเองด้วย” แม้ว่าตามรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่ พระองค์จะสามารถใช้
                  อำนาจได้อย่างไม่จำกัดได้ก็ตาม


                       แต่พระองค์ทรงประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในแบบ “the Enlightenment” ในฐานะที่เป็นกรอบ
                  ทฤษฎีแห่งความรู้หรือญาณวิทยาและทฤษฎีแห่งคุณค่าหรือจริยธรรมคุณธรรมในการทำความ

                  เข้าใจและปรับใช้กับสภาพความเป็นจริงต่างๆ ในการเมืองสมัยใหม่


                       แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรมบางพระองค์ก็ยังมีข้อจำกัดในเงื่อนของเวลาอยู่ด้วย
                  พระองค์ยังไม่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นอื่นได้ นอกจากระบอบสมบูรณาญา-
                  สิทธิราชย์ ที่อาจจะมีความเข้มข้นในการใช้สมบูรณาญาสิทธิ์น้อยลงไปเท่านั้นภายใต้กรอบแนว

                  พระราชดำริในแบบ “ภูมิธรรม” (the Enlightenment)


                       อย่างไรก็ตาม หากเมื่อคราวที่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเกิดขึ้น
                  “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรม” พระองค์ก็ทรงพร้อมที่ในการรับเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงนั้นได้
                  อย่างเข้าใจและราบรื่นกว่าพระมหากษัตริย์ที่ปราศจากซึ่งภูมิธรรม เพราะพระราชดำริที่

                  “ทรงภูมิธรรม” (the Enlightenment) ย่อมสอดคล้องต้องกันกับแนวการปกครองที่จะอยู่ภายใต้
                  หลักการแห่งมนุษยธรรม สิทธิเสรีภาพอันเสมอกันของปัจเจกบุคคลอยู่แล้ว


                       แต่แน่นอนอีกเช่นกันว่า หากการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมิได้นำไปสู่หลักการดังกล่าว

                  ก็ย่อมยากที่ “พระมหากษัตริย์ผู้ทรงภูมิธรรม” จะยอมจำนนนิ่งเฉยในสถานะขององค์พระมหา
                  กษัตริย์ต่อไปได้ เพราะตามแนวพระราชดำริสำคัญของพระเจ้าเฟดริคมหาราชแห่งปรัสเซีย
                  พระมหากษัตริย์ยุโรปพระองค์แรกที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “enlightened despot” และได้กลาย

                  เป็นต้นแบบให้กับพระมหากษัตริย์ต่อๆมาในยุโรป ทรงถือว่า สิ่งแรกที่พระมหากษัตริย์จะต้องเป็น
                  ก็คือ เป็นผู้รับใช้ชาติก่อนคนอื่นๆ


                       สุดท้าย ผู้เขียนขอใคร่ชวนให้พิจารณาต่อไปข้างหน้า โดยขอกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
                  จากบริบทปัจจุบันที่อำนาจอยู่ในมือมหาชน หรือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน กระแสนิยมผู้นำ

                  ทางการเมืองที่เป็น “เอกบุคคล” ของมหาชนลดน้อยถดถอยลงไม่ มหาชนสามารถที่จะนิยม
                  ยกย่อง “เอกบุคคล” ที่เป็นผู้นำทางการเมืองในปัจจุบันได้มากเท่าหรือมากกว่าที่เคยนิยมยกย่อง
                  “เอกบุคคล” ที่เป็นพระมหากษัตริย์ในอดีตเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ความนิยมยกย่องหรือไม่นิยม

                  ยกย่องผู้มีอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันจึงมิได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการที่ผู้มีอำนาจทางการเมือง
                  มิได้เป็น “เอกบุคคล” เท่ากับว่า “เอกบุคคล” ผู้มีอำนาจทางการเมืองนั้นตอบสนองความต้องการ

                  อันไม่มีขอบเขตและขีดจำกัดของประชาชน และยังสามารถอ้างอิงแหล่งที่มาของอำนาจทาง
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   เป็น “Absolutism” อย่างหนึ่ง ดังนั้น ประเด็นที่เราควรใส่ใจถวิลหาก็คือ “Enlightened citizens/
                  การเมืองของตนจากประชาชนโดยผ่านการเลือกตั้งหรือเป็นที่ยอมรับยกย่องจากประชาชนได้ก็
                  ด้วยเงื่อนไขที่ต้องผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชน


                       ปัจจุบัน ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย หรืออธิปไตยปวงประชามหาชนได้กลาย



                  people” พร้อมกันไปกับ “Enlightened Politicians” เพื่อนำไปสู่ความอัศจรรย์ตามความใน
   154   155   156   157   158   159   160   161   162   163   164