Page 215 - kpi15476
P. 215

214     การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15

                  สถาบันพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณี


                       พระราชสถานะ - สำหรับพระราชสถานะในทางนิติราชประเพณีนั้น กล่าวได้ว่า มีรูปแบบ

                  อยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งแตกต่างกันไปตามยุคสมัยหากพิจารณาในแง่ของระบอบการปกครอง
                  “ทางโลก” กล่าวคือ เมื่ออ่านประวัติศาสตร์ความเป็นมาของดินแดนที่ถูกเรียกว่าเป็น
                  ราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน ก็จะพบว่า ในแต่ละยุคสมัยนั้น พระมหากษัตริย์จะมีรูปแบบของ

                  พระราชสถานะที่แตกต่างกันตามระบอบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหลักฐานของพระราช
                  สถานะที่เราสามารถพบเห็นได้เก่าแก่ที่สุดก็คือ สมัยสุโขทัย ที่มีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก

                  ตามที่ปรากฏรายละเอียดในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งพระราชสถานะนี้
                  พระมหากษัตริย์จะค่อนข้างมีความใกล้ชิดกับประชาชน ราวกับว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง “พ่อ”
                  กับ “ลูก” เช่น ในกรณีของการถวายฎีการ้องทุกข์ ที่ประชาชนทั่วไปสามารถที่จะเข้าไปสั่นกระดิ่ง

                  หน้าพระราชวังได้โดยตรง เพื่อให้พระมหากษัตริย์ออกมาตัดสินคดี จนมาถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา
                  พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ก็ได้เปลี่ยนเป็นแบบเทวราชา คือ พระมหากษัตริย์จะทรงมี

                  พระราชอำนาจเด็ดขาดในการปกครอง พระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ที่ได้ตรัสออกไป
                  นั้นถือเป็นอันเด็ดขาด ประดุจวาจาสิทธิ์ของเทพเจ้า ซึ่งจากพระราชสถานะเช่นนี้ ทำให้เราอนุมาน
                  ได้ว่า ความใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริย์และประชาชนคงจะมีอยู่น้อยเป็นแน่ ดังนั้นความ

                  สัมพันธ์ระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์จึงเป็นแบบ “เทวดา” กับ “มนุษย์” จวบจนถึงสมัย
                  รัตนโกสินทร์ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ก็ได้มีการนำความเชื่อในแต่ละยุคสมัย

                  มาผสมผสานกัน จนเกิดเป็นพระราชสถานะเฉพาะพระองค์ของพระมหากษัตริย์ในสมัย
                  รัตนโกสินทร์ โดยพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์จะมีการปรับพระราชสถานะของพระองค์เองให้
                  เข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองอยู่เสมอ มิได้ทรงยึดถือคติความเชื่อแบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียว

                  เช่น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงตั้งพระราชสถานะของพระองค์เองว่าเป็น
                  อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ อันหมายถึง พระมหากษัตริย์ที่ประชาชนพร้อมใจกันตั้งขึ้น ซึ่งแสดง

                  ให้เห็นว่าทรงมีการนำคติทางพระพุทธศาสนามาใช้ (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, 2549, น.36-37)
                  มิได้ทรงยึดคติของศาสนาพราหมณ์เพียงอย่างเดียว หรือการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
                  เจ้าอยู่หัวได้ทรงมีการปฏิรูปพระราชประเพณีบางอย่างที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์

                  ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยเปิดกว้างที่จะปรับปรุงพระราชสถานะของ
                  พระองค์เองตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป  เพื่อประโยชน์สุขของชาติบ้านเมือง


                       จากที่กล่าวมาแล้วนี้ ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่า พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์แต่ละ
                  รัชสมัย ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ล้วนเป็น

                  พระราชสถานะที่ให้พระราชอำนาจแก่พระมหากษัตริย์อย่างสูงสุดทั้งสิ้น เพราะแต่เดิมเป็นที่
        เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย   ตามธรรมชาติของพระมหากษัตริย์ ตามคำอธิบายของศาสนาพราหมณ์ ส่วนในทางพุทธศาสนา
                  ยอมรับกันว่า อำนาจอธิปไตยเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้เป็นไปตามทฤษฎีว่า
                  ด้วยอาชญาสิทธิ์ หรืออำนาจแห่ง “ทัณฑะ” ซึ่งหมายถึงอำนาจสูงสุดในการลงโทษ อันเป็นอำนาจ


                  นั้น พระมหากษัตริย์ทรงอาชญาสิทธิในฐานะที่เป็น “มหาสมมติ” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ได้รับเลือกด้วย

                  ความยินยอมจากพสกนิกรให้ทำหน้าที่ผู้ปกครอง จึงมีหน้าที่อันเป็นฐานแห่งพระราชอำนาจ
                  ที่จะพิจารณาคุณและโทษอย่างเป็นธรรม (กิตติศักดิ์ ปรกติ, 2549, น.3) ซึ่งถึงแม้ว่า
   210   211   212   213   214   215   216   217   218   219   220