Page 212 - kpi15476
P. 212

การประชุมวิชาการ
                                                                                          สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15   211


                      ราชประเพณีทั้ง 2 แบบ คือ แบบที่หนึ่ง พระมหากษัตริย์จะทรงประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือ
                      พระพุทธศาสนา ตามจารีตประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา ดังจะเห็นได้จากการที่พระมหา

                      กษัตริย์แทบทุกพระองค์ของราชอาณาจักรไทย ล้วนเคยทรงพระผนวชในพระพุทธศาสนามาแล้ว
                      ทั้งสิ้น (วุฒิชัย วชิรเมธี, 2549, น.2) ส่วนการปฏิบัติพระองค์ในแบบที่สอง คือ พระมหากษัตริย์
                      ในอดีต เริ่มตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา จะเป็นผู้ทรงอุปถัมภ์ค้ำจุนศาสนาทุกศาสนาที่อยู่

                      ในราชอาณาจักร (สุรพล ไตรเวทย์, 2549, น.336) ซึ่งประชาชนทุกคนที่นับถือศาสนาใด ก็ย่อม
                      ที่จะมีความปลาบปลื้มยินดีที่พระมหากษัตริย์ทรงอุปถัมภ์ศาสนาของตน นอกจากนี้ยังถือเป็นการ

                      รับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการนับถือศาสนา ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอีกด้วย

                            ประการที่สี่ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทั้งนี้คำว่าพระมหากษัตริย์

                      มีความหมายว่า นักรบผู้ยิ่งใหญ่ (สุรพล ไตรเวทย์, 2549, น.337) ซึ่งมีที่มาจากคตินิยมของ
                      อินเดียโบราณ และถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับพระมหากษัตริย์ที่จะพึงมี โดยเฉพาะในอดีต

                      ที่พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นผู้นำทัพออกต่อสู้กับข้าศึกอยู่เสมอ ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงต้อง
                      ประกอบไปด้วยพระปรีชาสามารถ เพื่อที่จะรักษาอธิปไตยของประเทศไว้ให้ได้ ส่วนในปัจจุบัน
                      แม้พระมหากษัตริย์จะมิได้ทรงออกรบด้วยพระองค์เองอีกต่อไปแล้ว แต่พระราชสถานะนี้ ก็ถือ

                      เป็นการถวายพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณี อันเป็นเรื่องของพิธีการ เนื่องจากในปัจจุบัน
                      พระมหากษัตริย์มิได้ทรงใช้พระราชอำนาจในการบังคับบัญชาทหารด้วยพระองค์เองแต่อย่างใด

                      (เจษฎา พรไชยา, 2546, น.173)

                            ประการที่ห้า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งเกียรติยศ ตามความในมาตรา 11 ของ

                      รัฐธรรมนูญ ฉบับพุทธศักราช 2550 ที่ระบุไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะ
                      สถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” ซึ่งฐานันดรศักดิ์ในที่นี้ ครอบคลุม

                      ตั้งแต่ฐานันดรศักดิ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ ฐานันดรศักดิ์ของพระสงฆ์(สมณศักดิ์) และฐานันดร
                      ศักดิ์ของขุนนาง (ในปัจจุบัน มักเรียกกันว่าตำแหน่งของข้าราชการระดับสูงในหน่วยงานต่างๆ ซึ่ง
                      รัฐธรรมนูญได้กำหนดพระราชอำนาจในการทรงแต่งตั้งไว้) ส่วนพระราชอำนาจในการพระราชทาน

                      หรือเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น ก็ทรงกระทำได้ทุกตระกูล แต่ทั้งนี้ การที่พระมหากษัตริย์
                      จะทรงสถาปนาหรือถอดถอนฐานันดรศักดิ์  ตลอดจนการที่จะพระราชทานหรือเรียกคืนเครื่อง

                      ราชอิสริยาภรณ์ดังกล่าว จะต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการด้วย
                      (พูนศักดิ์ วรรณพงษ์, 2538, น.43)


                            ประการที่หก พระมหากษัตริย์ทรงเป็นที่มาแห่งความยุติธรรม ซึ่งถึงแม้ว่าในบทบัญญัติส่วน
                      ที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญจะไม่ได้มีการบัญญัติพระราชสถานะนี้ไว้โดยตรงก็ตาม

                      แต่เมื่อพิจารณาในบทบัญญัติส่วนอื่นของรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะพบว่า เจตนารมณ์ที่แท้จริงของ
                      รัฐธรรมนูญก็ต้องการที่จะถวายพระราชสถานะนี้เช่นเดียวกัน ดังเช่นในรัฐธรรมนูญ ฉบับ
                      พุทธศักราช 2550 มาตรา 197 ที่กำหนดไว้ว่า “การพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาลซึ่งต้อง

                      ดำเนินการ...ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์” และในมาตรา 191 ก็ได้กำหนดว่า “พระมหา
                      กษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ” ซึ่งพระราชสถานะในส่วนนี้                       เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย

                      เป็นการแสดงให้เห็นถึงคติเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนที่มีมาแต่
   207   208   209   210   211   212   213   214   215   216   217