Page 296 - kpi15476
P. 296
การประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15 295
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในกาลต่อ
มา ภายหลังวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะ
ราษฎรจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) มาเป็นระบอบราชาธิปไตยภาย
ใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) หรือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข
1.2 โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของอภิรัฐมนตรีสภา
1) องค์ประกอบของอภิรัฐมนตรีสภา
อภิรัฐมนตรีสภาประกอบด้วยสมาชิก 5 พระองค์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดี
ในรัชกาลที่ 5 และ 6 ได้แก่ 1) สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช 2) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต 3) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรา-
นุวัดติวงศ์ 4) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
5) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ ภายหลัง
ที่สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชทิวงคตแล้ว ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเพิ่มเติมอีก 1 พระองค์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2473 คือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และต่อมาในวันที่ 21 ตุลาคม 2474 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งเพิ่มเติมอีก 2 พระองค์ คือ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และ
พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย (ชาญชัย รัตนวิบูลย์, 2548: 161) จึงเห็นได้ว่า
อภิรัฐมนตรีรวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ล้วนเป็นพระราชวงศ์ชั้นสูงแห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งเคยทรงดำรง
ตำแหน่งเสนาบดีและมีประสบการณ์สูงมากทุกพระองค์ รวมทั้งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยและเป็นผู้
ที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งช่วยให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศในระยะแรก ดังปรากฏใน
พระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปถึงพระยากัลยาณไมตรี มีความตอนหนึ่งว่า…
“...ทันทีที่ข้าพเจ้าเสวยราชย์ก็คิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างที่สุดที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อ
เรียกความเชื่อถือจากประชาชนกลับคืนมาอีก ดังนั้น จึงได้มีการตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้น ซึ่ง
ได้ผลทันทีและข้าพเจ้าได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนในวันเดียว เหตุที่การกระทำเช่นนี้
ได้ผลทันทีทันใดก็เพราะ มันเป็นความหวังสำหรับสิ่งซึ่งพึงปรารถนาหลายประการ
ประการแรกพระราชวงศ์เริ่มรวมกันและทำงานกันอย่างกลมเกลียว ประการที่สอง พระเจ้า
อยู่หัวมีความเต็มใจที่จะขอคำปรึกษาจากพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีประสบการณ์มาแล้วใน
ราชการ และเป็นผู้ที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชน ไม่มีขุนนางคนใดเลยที่เป็นที่เกลียด
ชังของประชาชนรวมอยู่ในสภานี้ ประการที่สาม พระราชอำนาจของกษัตริย์ที่จะทำอะไร
ตามใจพระองค์เองก็จะลดน้อยลงไป เมื่อมีสภานี้ (พึงระลึกว่าในสภาพความเห็นในประเทศ
ขณะนั้น คิดกันว่าพระมหากษัตริย์มีทางที่จะทำอะไรที่เป็นภัยมากกว่าที่จะทำดี)..” เอกสารประกอบการประชุมกลุ่มย่อย
(ชัยอนันต์ สมุทวณิช, 2519: 84; อ้างถึงในชงคชาญ สุวรรณมณี, 2554: 1)