Page 89 - kpi15476
P. 89

การประชุมวิชาการ
                   สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 15

                     3. พระราชหฤทัยกว้าง รับฟังความคิดเห็น


                         พระอุปนิสัยที่เด่นอย่างหนึ่ง คือ พระราชหฤทัยที่กว้าง พร้อมที่จะทรงสดับและตริตรอง

                  ความคิดเห็นของผู้อื่น ถึงขนาดที่พระเชษฐาผู้อาวุโสกว่าพระองค์ถึงหนึ่งรอบนักษัตรรับสั่งว่าทรง
                  “เป็น liberal อย่างเอก” การทรงรับฟังความคิดเห็นและพระราชหฤทัยที่กว้างนี้ ไม่ได้
                  หมายความว่า ไม่ทรงมีความคิดเห็นเป็นของพระองค์เอง แต่ในพระราชสถานะพระมหากษัตริย์

                  ผู้เป็นประธานในการประชุม ได้ตั้งพระราชหฤทัยถือเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ เสมือนว่าจะทรงวาง
                  พระองค์เป็นแบบอย่างของวิถีประชาธิปไตย หากแต่ว่าพระราชนิยมประการนี้ ได้ยังให้ผู้คนที่

                  คาดหวังให้ทรงใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์เกิดความผิดหวังในพระองค์ กระนั้น ก็ได้ทรงมีความ
                  อดกลั้นต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อมวลชนต่าง ๆ ไม่ได้ทรงกระทำการรุนแรงด้วยการปิดปาก
                  เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงแสดงพระราชทัศนะของพระองค์อย่างชัดแจ้ง ก็ได้ทรงย้ำไว้ด้วยว่า

                  ความคิดเห็นของพระองค์ต้องมีการพิสูจน์ความถูกต้องต่อไปเช่นเดียวกับความคิดเห็นของผู้อื่น

                     4. พระราชทัศนะต่อประชาธิปไตย



                         พระองค์ทรงมีความสงสัยตามแบบฉบับที่ดีของปัญญาชนว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็นของดี
                  จริงหรือไม่ และเหมาะสมสำหรับที่จะใช้ในสยามหรือไม่ แต่กระนั้น ในฐานะผู้ศึกษาติดตาม

                  กระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ ได้ทรงวินิจฉัยว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรืออัตตาธิปไตยนั้นนับว่า
                  จะล้าสมัย และประชาธิปไตยกำลังเป็นที่ใฝ่หาของผู้คน ดังนั้น จึงได้ทรงเห็นเป็นพระราชพันธกิจ
                  ที่จะต้องทรงอำนวยให้ระบบกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) ซึ่งเป็น

                  รูปแบบหรือแบรนด์ (brand) หนึ่งของประชาธิปไตย ได้วิวัฒน์ขึ้นในสยาม เพื่อที่จะได้เป็นหนทาง
                  หลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างการมีสถาบันพระมหากษัตริย์กับการมีระบอบประชาธิปไตย และ

                  ในการนั้นรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งอยู่คู่กับ และยังคุณประโยชน์แก่สยามมาแต่
                  โบราณกาล การทรงเห็นเป็นพระราชพันธกิจเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวทางการบำรุงรักษาสิ่งที่ดีแต่
                  อดีตควบคู่ไปกับการนำสิ่งใหม่มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะแก่สยาม ซึ่งทรงใช้เป็นพระบรมราโชบาย

                  ทุกด้าน และไม่แปลกในเมื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้สืบราชสันตติวงศ์


                         แม้ว่าพระองค์จะได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญด้วยการ
                  ทรงใช้พระราชสิทธิของพระมหากษัตริย์ในระบอบนั้นในการพระราชทานคำปรึกษา คำแนะนำ
                  และคำเตือนสติแก่ผู้ที่มีอำนาจในการปกครองจริง ๆ แต่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับว่าระบบ

                  กษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญนั้นควรเป็นเช่นใด เป็นเหตุสำคัญให้มีความขัดแย้งตกลงกันไม่ได้
                  ระหว่างพระองค์กับผู้มีอำนาจในการปกครอง นอกจากนั้น เมื่อทรงเห็นว่าการปกครองมิได้เป็นไป

                  โดยหลักนิติธรรม กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้ยังขาดโอกาสในอันที่จะมีสิทธิเสียงใน
                  นโยบายของประเทศโดยแท้จริง พระองค์ผู้ได้ทรงสัญญาไว้แต่เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติที่จะทรง
        เอกสารประกอบการอภิปราย   สัญญานั้นไว้ได้ เนื่องด้วยได้ทรงสละพระราชอำนาจแล้วตั้งแต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
                  ปกป้องคุ้มครองประชาชนตามหน้าที่ของธรรมราชา จึงทรงละอายพระทัยที่ไม่ทรงสามารถรักษา



                  เมื่อ พ.ศ. 2475 อีกทั้งการทรงใช้พระราชสิทธิก็ไม่ได้รับการยอมรับ เหตุดังนั้น จึงได้ทรงสละ

                  ราชสมบัติ โดยได้ทรงย้ำถึงหลักการของระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงว่าต้องเป็นการปกครอง
   84   85   86   87   88   89   90   91   92   93   94