Page 240 - kpi20756
P. 240

2 0     การประชุมวิชาการ
                    สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21
            ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย


                  ได้เอง...” หลังจากนั้นได้มีพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กร
                  ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

                  เพื่อให้มีการถ่ายโอนภารกิจบางประการของรัฐในส่วนกลางให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาทิ
                  ภารกิจด้านการศึกษา สาธารณสุข เป็นต้น


                       ในภาพรวมพบว่า การกระจายอำนาจทางการเมืองของไทยมีปัญหาสำคัญหลายประการ
                  ดังนี้


                       ประการแรก ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐบาล อันเนื่องมาจาก
                  มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง ดังปรากฏว่า ในช่วงปี 2542 - 2557 (ก่อนการรัฐประหาร

                  ปี 2557) มีรัฐบาลถึง 8 คณะ บางรัฐบาลมีอายุเพียง 2 เดือนเศษ ส่งผลให้การผลักดันนโยบาย
                  ต่าง ๆ ของรัฐบาลมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเป็นส่วนใหญ่ มีผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่า

                  ความไม่ต่อเนื่องในระดับนโยบาย การกระจายอํานาจของรัฐที่เกิดขึ้นนี้ จึงทําให้การขับเคลื่อน
                  การกระจายอํานาจโดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม อยู่ในสภาวะ
                  ไร้เอกภาพเปรียบเสมือนกับสภาวะ “อนาธิปไตยในการดําเนินนโยบายกระจายอํานาจ” (Anarchy

                  in Policy Process) หลายหน่วยงานชะลอหรือหยุดการดําเนินการ หลายหน่วยงานมีท่าทีที่ตั้งรับ
                  หลายหน่วยงานมีความริเริ่มหรือความพยายามที่จะดึงกลับและไม่สนับสนุนการกระจายอํานาจ

                  และหลายหน่วยงานที่ยังคงต้องการ “คุมอํานาจและรักษาสถานภาพความเป็นตัวตนของระบบ
                  ราชการ” เอาไว้ด้วยการ กํากับดูแล อปท. ที่มากเกินควร (วีระศักดิ์ เครือเทพและคณะ, 2557,
                  น. 97) และเมื่อศึกษาการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในต่างประเทศจะพบว่า ประเทศที่ประสบ

                  ความสำเร็จในการกระจายอำนาจต้องอาศัยความต่อเนื่องของนโยบายกระจายอำนาจและ
                  เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลควบคู่ไปกับเจตจำนงทางการเมืองของผู้นำรัฐบาล


                       ประการที่สอง บริบทการเมืองการบริหารของรัฐไทยที่ยังคงเน้นการรวมอำนาจสู่
                  ศูนย์กลาง กล่าวได้ว่า การเมืองไทยนับแต่การรัฐประหารในปี 2475 ที่ทำให้เกิดการ

                  เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเมืองไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
                  เป็นเพียงการเปลี่ยนโครงสร้างและสถาบันทางการเมืองเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของการเมือง

                  การปกครองมิได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก โดยเฉพาะการเน้นการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
                  (รัฐบาลและระบบราชการ) โดยที่ในบางช่วงของการเมืองไทย ข้าราชการมีบทบาททางการเมือง
                  มากจนถูกเรียกว่า “ระบอบอำมาตยาธิปไตย” (Bureaucratic Polity) ในช่วงที่ข้าราชการดำรง

                  ตำแหน่งทั้งทางการเมืองและการบริหารควบคู่กันและการที่ข้าราชการทหารเข้ามาแทรกแซง
                  ทางการเมืองโดยการรัฐประหารถึง 13 ครั้ง นับแต่การรัฐประหารครั้งแรกในปี 2475 และเมื่อมี

        เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5   ศูนย์อำนาจมากกว่ากระจายอำนาจ เนื่องจากการแข่งขันเข้าสู่อำนาจทางการเมืองผ่าน
                  รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งก็มิได้ทำให้รูปแบบการใช้อำนาจทางการเมืองในการบริหาร
                  ประเทศแตกต่างไปจากเดิมมากนัก เพราะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ยังเน้นการรวม



                  กระบวนการเลือกตั้งต้องใช้ทุนสูงมากส่งผลให้ผู้ที่ได้เข้ามามีอำนาจในรัฐบาลไม่มีเจตจำนงที่จะ
                  กระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่น ในทางตรงกันข้ามกลับพยายามสร้างความนิยมให้กับตนเองและ

                  พรรคการเมืองที่สังกัดสำหรับการเเลือกตั้งครั้งต่อไปผ่านนโยบายประชานิยมและแผนงาน
   235   236   237   238   239   240   241   242   243   244   245