Page 236 - kpi20756
P. 236

2       การประชุมวิชาการ
                    สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 21
            ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ สร้างคุณภาพประชาธิปไตย


                  การเมืองการบริหาร ตลอดจนในสถาบันทางการเมืองสำคัญในระบอบประชาธิปไตย รวมถึง
                  มีชนชั้นกลางอีกจำนวนมากที่เป็นผู้มีความรู้ มีทักษะความชำนาญเฉพาะด้านสูง ซึ่งทั้งสองกลุ่ม

                  ถือได้ว่า มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลและรัฐสภามาก

                       ในทางตรงกันข้าม คนในชนบทซึ่งขณะนี้ยังเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ จะมีอิทธิพลต่อ

                  ชนชั้นนำทางการเมืองก็ต่อเมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้นำท้องถิ่น สมาชิก
                  สภาท้องถิ่นเท่านั้น แต่ภายหลังการเลือกตั้ง คนในชนบทก็ตกอยู่ในสภาวะ “ผู้รับ” สิ่งที่ชนชั้นนำ

                  ทางการเมืองการบริหารหยิบยื่นให้ในรูปของนโยบาย แผนงาน โครงการต่าง ๆ โดยที่คนใน
                  ชนบทมีส่วนร่วมน้อยมากต่อการจัดทำนโยบายและแผนงานโครงการทั้งหลาย รวมถึงการจัดสรร
                  งบประมาณโดยเฉพาะในระดับพื้นที่ที่มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับผิดชอบพื้นที่อยู่


                       ปัญหาที่เกิดขึ้นในชนบทที่สร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมแก่คนในชนบท อาทิ ปัญหา

                  การขาดที่ดินทำกิน ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ปัญหาโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณะของรัฐที่มี
                  คุณภาพทัดเทียมกับคนในเมือง ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่รัฐ
                  ปัญหาการบุกรุกที่ดินของกลุ่มทุน เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นมานาน แม้ว่า

                  รัฐบาลในระยะหลัง ๆ จะพยายามให้มีนโยบายและแผนงานในการลดความเหลื่อมล้ำก็ตาม
                  โดยเฉพาะทางด้านสาธารณสุขที่ดูเหมือนว่าจะก้าวหน้ามากที่สุดในการลดความเหลื่อมล้ำในการ

                  เข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ของรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร
                  ที่ทำให้พรรคการเมืองที่นายทักษิณฯ เป็นหัวหน้าพรรคได้รับความนิยมจากประชาชนในชนบท
                  อย่างมากจนถึงทุกวันนี้ เพราะมีความเป็นรูปธรรมมากที่สุดที่เคยมีมาในการลดความเหลื่อมล้ำ

                  จนทำให้รัฐบาลต่อ ๆ มาต้องคงโครงการนี้ไว้และมีการปรับปรุงให้ดีมากยิ่งขึ้น และยังพบว่า
                  โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (สถานีอนามัยเดิม) มีการปรับปรุงคุณภาพมากขึ้น โดยเฉพาะ

                  อย่างยิ่งสถานีอนามัยที่มีการถ่ายโอนมาอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรร
                  งบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาจัดจ้างบุคลากรทางด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมและ
                  จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นได้มากขึ้น แทนที่จะต้องรอการจัดสรรจากกระทรวงสาธารณสุข

                  ที่ต้องใช้เวลานานมาก เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมากกว่า
                  9,000 แห่ง (แต่มีการถ่ายโอนมาอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพียงประมาณ 50 แห่งเศษ

                  เท่านั้น) ผลลัพธ์ก็คือ คนในชนบทได้รับการป้องกันและดูแลด้านสุขภาวะระดับปฐมภูมิดีขึ้นกว่า
                  อดีตมากและได้รับความสะดวกโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากในการเดินทางไปรักษา ณ โรงพยาบาล
                  ในเมือง รวมถึงเสียเวลาในการเดินทางมาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเพียงเล็กน้อย


                       จากการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำในสังคมของผู้เขียนที่ดำเนินการในปี 2562

        เอกสารประกอบการสัมมนากลุ่มย่อยที่ 5   อย่างมากทั้งในแง่การประหยัดค่าใช้จ่าย ระยะเวลาในการเดินทาง และที่สำคัญได้รับบริการที่มี
                  พบว่า รพ.สต. ที่โอนมาอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เฉพาะที่ศึกษา) ทุกแห่งได้รับ
                  การดูแลจัดสรรงบประมาณอย่างเต็มที่จากผู้บริหารท้องถิ่นทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์



                  มาตรฐานและหลากหลายมากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูบึงยี่โถ
                  ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองบึงยี่โถ ซึ่งพัฒนามาจากสถานีอนามัยที่ได้รับการถ่ายโอนจาก

                  กระทรวงสาธารณสุขในปี 2550 จนกลายมาเป็นศูนย์การแพทย์และฟื้นฟูที่ทันสมัยมีบริการถึง
   231   232   233   234   235   236   237   238   239   240   241