Page 30 - kpi20863
P. 30

Hansen) สถาปนิกชาวเดนมาร์กในพ.ศ. 2426 มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบกรีก รีไววัล (Greek Revival)

               ด้วยผู้ออกแบบต้องการสื่อความหมายถึงการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเชื่อกันว่ามีต้นก่าเนิดที่กรุง
               เอเธนส์  (ภาพที่ 2-22) ส่วนอาคารรัฐสภา (Westminster Palace) ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เซอร์

               ชาลส์ บาร์รี (Sir Charles Barry) สถาปนิก ออกแบบอาคารในพ.ศ. 2383 โดยใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมกอธิค

               รีไววัล (Gothic Revival) เพื่ออ้างอิงถึงประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของรูปแบบเพอร์เพนดิคูลาร์ กอธิค
               (Perpendicular Gothic) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมของอังกฤษแท้ๆ มิใช่สถาปัตยกรรมแบบ

               คลาสสิค ซึ่งถือก่าเนิดขึ้นในอาณาจักรกรีกและจักรวรรดิโรมัน (ภาพที่ 2-23)

                       กล่าวอีกนัยหนึ่ง สถาปัตยกรรมแบบประวัติศาสตร์นิยมท่าให้การออกแบบผังพื้นอาคารกับการ
               ออกแบบรูปร่างหน้าตาอาคารแยกออกจากกัน  ผังพื้นผังเดียวอาจมีรูปลักษณ์หน้าตาได้หลายรูปแบบ ตามแต่

               จินตนาการและการอ้างอิงรูปแบบในอดีตของสถาปนิก ศูนย์กลางของการศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมแบบ

               ประวัติศาสตร์นิยมในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือสถาบันเอโกล เดส์ โบซาร์ต (École des Beaux-Art) ที่กรุง
               ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่มาทรงอิทธิพลต่อการออกแบบ

               สถาปัตยกรรมในทวีปยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 มุ่งให้นักเรียนศึกษาแบบอย่างสถาปัตยกรรมกรีกและ

               โรมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทั้งจากการบรรยาย การรังวัด และการเขียนแบบ เพื่อศึกษาวิธีจัดวางองค์ประกอบ
               (composition) การออกแบบรายละเอียด การใช้สี (polychromy) ของสถาปัตยกรรมคลาสสิค จนกระทั่ง

               สามารถน่ามาประยุกต์ใช้ในงานออกแบบของตนเอง ควบคู่ไปกับการฝึกฝนอย่างจารีต เช่น การวาดภาพกาย

               วิภาค (anatomical sketch) และการวาดภาพ เป็นต้น (ภาพที่ 2-24)
                       ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 สถาปัตยกรรมแบบนีโอ

               คลาสสิคกลายเป็นภาษาสากลของสถาปัตยกรรมในโลกอาณานิคม ทั้งในทวีปแอฟริกา อเมริกา และเอเชีย

               ด้วยเป็นเครื่องมือที่มหาอ่านาจตะวันตกใช้ประกาศความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ (superiority) เหนือผู้ถูกปกครอง มี
               รูปแบบซึ่งมีที่มาจากประวัติศาสตร์ตะวันตก ต่างไปจากสถาปัตยกรรมพื้นเมืองของผู้ถูกปกครองอย่างชัดเจน

                       อิทธิพลของรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบประวัติศาสตร์นิยมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่อง

               ถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง ที่ส่งผลโดยตรงต่อรูปแบบสถาปัตยกรรมอย่างตะวันตกในสยาม ในช่วง
               รัชกาลที่ 5 ท่ามกลางบริบทของการล่าอาณานิคมของมหาอ่านาจตะวันตกในทวีปเอเชีย ชนชั้นน่าสยามได้

               เลือกใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบประวัติศาสตร์นิยมของตะวันตก ในการประกาศภาวะความ “ศิวิไลซ์” ของ

               สยาม โดยการว่าจ้างสถาปนิกฝรั่งชาติต่างๆ ทั้งอิตาเลียน อังกฤษ เยอรมัน ฯลฯ ให้ออกแบบก่อสร้างอาคาร
               ต่างๆ ทั้งอาคารสาธารณะและอาคารพักอาศัย ในรูปแบบตะวันตก เช่น รูปแบบสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค

               (Neoclassicism) ในอาคารพระที่นั่งวโรภาษพิมาน พระราชวังบางปะอิน (พ.ศ. 2415, ภาพที่ 2-25) โรงทหาร

               หน้า (พ.ศ. 2424)  วังบูรพาภิรมย์ (พ.ศ. 2424) ศาลสถิตย์ยุตติธรรม (พ.ศ. 2425) และศุลกสถาน (พ.ศ.
               2427)  รูปแบบสถาปัตยกรรมนีโอเรอเนสซองส์ (Neo-Renaissance) เช่น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (พ.ศ.

               2425, ภาพที่ 2-26) โรงเรียนทหารสราญรมย์ (พ.ศ. 2433) และพระที่นั่งบรมพิมาน (พ.ศ. 2445)  นอกจากนี้

               ยังมีอาคารในรูปแบบกอธิครีไววัล (Gothic Revival) เช่น พระอุโบสถ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (พ.ศ. 2420,


                                                            23
   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35