Page 29 - kpi20863
P. 29

พัฒนาการส่าคัญอีกประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน คือพัฒนาการเทคโนโลยีอาคาร เช่น ระบบ

               ไฟฟ้า ทั้งไฟฟ้าแสงสว่างและไฟฟ้าก่าลัง ท่าให้อาคารสมัยใหม่สว่างไสวในเวลากลางคืนโดยปราศจาก
               ภยันตรายของอัคคีภัย ต่างจากอาคารในสมัยก่อนหน้าที่ใช้แสงสว่างจากแก๊สหรือถ่านหิน  ไฟฟ้ายังเป็น

               พลังงานส่าคัญส่าหรับลิฟท์และบันไดเลื่อน ที่เป็นอุปกรณ์ส่าคัญส่าหรับอาคารสูงหรืออาคารสาธารณะขนาด

               ใหญ่  นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับการใช้ระบบปรับอากาศ (air-conditioning system) ภายในอาคาร ทั้งอาคาร
               สาธารณะและอาคารพักอาศัย  พัฒนาการเทคโนโลยีอาคารเหล่านี้ล้วนมีผลต่อพัฒนาการรูปแบบ

               สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา

                       ระบบการก่อสร้างและเทคโนโลยีอาคารสมัยใหม่ยังให้เกิดแนวทางสถาปัตยกรรมใหม่ที่แตกต่างจาก
               รูปแบบสถาปัตยกรรมในอดีต คือรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบประวัติศาสตร์นิยม (Historicism) ที่อาศัยการ

               อ้างอิงรูปแบบสถาปัตยกรรมจากพงศาวดารการก่อสร้างของโลกตะวันตก เช่น สถาปัตยกรรมคลาสสิค

               (Classical Architecture)  สถาปัตยกรรมกอธิค (Gothic Architecture) เป็นต้น  ในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 เออ
               แชน วิโอเลต์ เลอ ดุค (Eugène Viollet-le-Duc) นักประวัติศาสตร์และทฤษฎีสถาปัตยกรรมชาวฝรั่งเศส เริ่ม

               เรียกร้องให้สถาปนิกออกแบบอาคารที่ตอบสนองต่อพลวปัจจัยร่วมสมัย มีการแสดงออกถึงหน้าที่ใช้สอย

               โครงสร้าง และวัสดุ อย่างตรงไปตรงมา โดยมิต้องอ้างอิงถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมในอดีตอย่างหนึ่งอย่างใด
               แนวความคิดของวิโอเลต์ เลอ ดุคนี้ส่งอิทธิพลอย่างมากต่อสถาปนิกสมัยใหม่รุ่นบุกเบิก เช่น หลุยส์ ซัลลิแวน

               (Louis Sullivan) และปีเตอร์ เบห์เรนส์ (Peter Behrens)


                       2.3.2 รูปแบบประวัติศาสตร์นิยม (Historicism)

                       รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบประวัติศาสตร์นิยม คือการอ้างอิงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งจากอดีต รื้อฟื้น

               กลับมาใช้ในบริบทที่ต่างสมัยกัน จึงเรียกอีกอย่างว่า รูปแบบรีไววัล (revival style) เช่น รูปแบบกอธิครีไววัล
               (Gothic Revival) คือการเลือกใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมกอธิค สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 14 มาใช้ใหม่ใน

               สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือสถาปัตยกรรมนีโอคลาสสิค (Neoclassicism) คือการใช้รูปแบบสถาปัตยกรรม

               คลาสสิคในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตก คือสถาปัตยกรรมกรีก และสถาปัตยกรรมโรมัน มาใช้ใหม่
               ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ต่อเนื่องถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ภาพที่ 2-20) สถาปัตยกรรมแบบประวัติศาสตร์

               นิยมทรงอิทธิพลมากในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในสมัยที่ระบบการก่อสร้างและเทคโนโลยีอาคาร

               สมัยใหม่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การวางผังอาคารกลายเป็นการจัดวางพื้นที่ รูปทรงและขนาดที่ว่าง (space) ที่
               เหมาะสม โดยเน้นความสมมาตรแบบมีแนวแกน (axial symmetry) ล่าดับชั้นของพื้นที่ว่าง (spatial

               hierarchy) และการใช้เส้นตาราง (grid) เป็นเครื่องก่ากับผังพื้นให้มีระบบระเบียบ (ภาพที่ 2-21) เหมาะสมกับ

               ระบบโครงสร้าง  ทั้งหมดนี้เป็นคนละส่วนจากการออกแบบรูปร่างหน้าตาของอาคาร ซึ่งผู้ออกแบบสามารถ
               เลือกใช้รูปแบบใดก็ได้จากรูปแบบสถาปัตยกรรมในประวัติศาสตร์ โดยค่านึงถึงความเหมาะสม ลักษณะส่าคัญ

               (character) ของอาคารและการใช้สอยหรือการสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น อาคารรัฐสภา

               (Parlamentsgebäude) ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ออกแบบโดยนายเธโอฟิล ฮันเซน (Theophil


                                                            22
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34