Page 27 - kpi20863
P. 27

เรือนจ่ากลางบางขวางบ่อยครั้ง สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตจึงกราบบังคมทูล

               ยืนยันถึงความจ่าเป็นที่จะสร้างถนนกรุงเทพฯ – นนทบุรีขึ้นอีกครั้ง จนรัฐบาลเริ่มก่อสร้างถนนสายดังกล่าว
                                         44
               ในช่วงปลายพ.ศ. 2474 นั้นเอง  (ภาพที่ 2-14)
                       ส่วนทางทิศใต้ รัฐบาลริเริ่มตัดถนนกรุงเทพฯ – สมุทรปราการ มาแล้วตั้งแต่พ.ศ. 2471 โดยเป็นถนน

               ที่ตั้งต้นจากปลายถนนเพลินจิต เลียบแนวแม่น้่าเจ้าพระยาลงมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ข้ามคลองพระโขนง
               คลองบางนา และคลองส่าโรง จนมาถึงศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ  ถนนสายนี้กระทรวงมหาดไทยได้ให้

               กรมนคราทรด่าเนินการสร้าง โดยขอความอนุเคราะห์ที่ดินจากเจ้าของที่ดินตามแนวถนนนั้น และใช้

               แรงงานคนที่ไม่เสียเงินรัชชูปการปักกรุยและพูนดินท่าถนนเป็นตอนๆ เริ่มตั้งแต่ด้านถนนเพลินจิตจนถึงคลอง
                           45
               พระโขนงก่อน  ถนนสายนี้คือส่วนหนึ่งของถนนสุขุมวิทในปัจจุบัน  ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475
               กระทรวงมหาดไทยจึงด่าเนินการก่อสร้างถนนนั้นต่อ ตั้งแต่คลองพระโขนงจนถึงศาลากลางเมือง

               สมุทรปราการ
                           46
                       ส่าหรับทิศตะวันตกนั้น ในพ.ศ. 2473 รัฐบาลมีโครงการสร้างถนน 4 สาย ทางฝั่งธนบุรี เพื่อรองรับ

               การขยายตัวของการคมนาคมหลังการก่อสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าแล้วเสร็จลงในพ.ศ. 2475 ตามความใน

               หนังสือกราบบังคมทูลความเห็นของสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดี
               กระทรวงมหาดไทย ว่า “จะต้องมีถนนหนทางและจัดวางแผนผังฝั่งธนบุรี เพื่อสะดวกแก่จราจรของยวดยาน

               พาหนะสืบไป” โดยนายชาลส์ โบดาร์ต (Charles Baudart) นายช่างนคราทร ได้ออกแบบถนนดังกล่าว (คือ

               ถนนประชาธิปก ถนนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ถนนสมเด็จเจ้าพระยา และถนนอิสรภาพในปัจจุบัน) พร้อมวง
               เวียนใหญ่ (rond point) ที่รอยต่อถนนประชาธิปกกับถนนสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี รวมระยะทางทั้งสิ้น

                           47
               17,200 เมตร  (ภาพที่ 2-15) ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตยังมีพระด่าริ
               ให้ตัดถนนซอยเพิ่มอีก 6 สาย รวมเป็นถนนใหม่ทางฝั่งธนบุรี 10 สาย พร้อมสร้างท่าเรือส่าหรับขนส่งสินค้าอีก
               2 แห่ง ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงพ.ศ. 2474 – 2475 ตามล่าดับ

                       นอกจากถนนเหล่านี้แล้ว ในรัชกาลที่ 7 ยังมีการตัดถนนใหม่ๆ ภายในพระนคร เพื่อเสริมโครงข่ายการ

               คมนาคมทางบกเดิมที่มีมาแล้วตั้งแต่รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ให้สมบูรณ์ขึ้นตามความต้องการของมหานคร
               สมัยใหม่ ได้แก่ การตัดเจริญเมือง ถนนจารุเมือง ถนนจรัสเมือง และถนนมหาพฤฒาราม (พ.ศ. 2470) ถนนวิ

                                    48
               สุทธิกษัตริย์ (พ.ศ. 2471)  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงพื้นผิวถนนสายส่าคัญๆ ในพระนครโดยการ
               ปรับแก้เป็นถนนโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ราดทับหน้าด้วยยางแอสฟัลต์ (asphalt) ได้แก่ ถนนราชด่าเนิน
               กลาง ถนนบริพัตร ถนนหลานหลวง ถนนพาหุรัด ถนนพลับพลาไชย และถนนพาดสาย ในพ.ศ. 2471 – 2472

                     49
               อีกด้วย
                       ด้วยบริบทของการพัฒนาเมืองและองค์ประกอบเมืองต่างๆ ที่กล่าวมา เมืองกรุงเทพฯ ตลอดจนหัว
               เมืองส่าคัญๆ ของสยามจึงก้าวเข้าสู่สมัยใหม่อย่างช้าๆ ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

               โดยที่องค์พระประมุขและรัฐบาลในพระปรมาภิไธยต่างเข้าใจโอกาสและปัญหาของเมืองใหญ่ๆ ที่ก่าลังปรากฏ

               ชัดเจนมากยิ่งขึ้นโดยล่าดับ เช่น ปัญหาสุขอนามัย อัคคีภัย ความหนาแน่นของประชากรในเมือง หรือโอกาสใน


                                                            20
   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32