Page 49 - kpi20863
P. 49
ส่งเสริมวิชาสถาปัตยกรรมให้เจริญ และให้เป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป ทั้งเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในระหว่างสมาชิก
25
ด้วยกัน”
การประชุมในครั้งนั้นได้วางแนวทางการด าเนินงานสมาคม เช่น การตั้งคณะอนุกรรมการในด้านต่างๆ
การจัดกิจกรรมพบปะสนทนา แลกเปลี่ยนความรู้ การสร้างหลักสูตรส าหรับสมาชิกสมทบเพื่อเพิ่มวิทยฐานะ
เป็นต้น นอกจากนี้หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ยังทรงเสนอให้สมาคมกราบบังคมทูลเชิญรัชกาลที่ 7 เป็นองค์
อุปถัมภ์ และทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ เป็น “พระอาจารย์” ของ
สมาคม อีกด้วย
26
องค์ประกอบที่ส าคัญอีกประการหนึ่ง คือการออกวารสารของสมาคมวิชาชีพ โดยที่ในขณะนั้นสมาคม
นายช่างแห่งกรุงสยาม ได้ออกวารสาร ข่าวช่าง มาตั้งแต่พ.ศ. 2472 แล้ว (ภาพที่ 3-20) มีเนื้อหาเผยแพร่
ความรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมศาสตร์ สถาปัตยกรรมศาสตร์ และศาสตร์เกี่ยวเนื่อง สมาคมสถาปนิกสยามจึงออก
วารสาร จดหมายเหตุสมาคมสถาปนิกสยาม ขึ้นในพ.ศ. 2477 นั้นเอง (ภาพที่ 3-21) ในเบื้องต้นมีเนื้อหาว่า
ด้วยรายงานการประชุมคณะกรรมการ ข่าวในแวดวงสถาปนิก และบทความวิชาการเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม
วารสารนี้ออกต่อเนื่องมาประมาณสองปี จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นวารสารอาษา ของสมาคมสถาปนิกสยามในพระ
บรมราชูปถัมภ์ ซึ่งได้ออกต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี
3.6 การเรียนการสอนวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ในสยาม
การศึกษาวิชาช่างในสยามตามแผนการศึกษาสมัยใหม่นั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการ
ตั้ง สโมสรช่าง ขึ้นที่สามัคคยาจารย์สถาน เพื่อให้ความรู้วิชาช่างต่างๆ ได้แก่ ช่างเขียน ช่างปั้น และช่าง
ก่อสร้าง ต่อมาเมื่อมีผู้สนใจเข้าเรียนทวีจ านวนมากขึ้น กระทรวงธรรมการจึงเปิดโรงเรียนฝึกหัดการหัตถกรรม
ขึ้นที่ถนนตรีเพชร และทดลองจัดงานแสดงศิลปหัตถกรรมนักเรียนขึ้นในพ.ศ. 2455 จากนั้นจึงได้ใช้ทุนที่
ข้าราชการกระทรวงธรรมการได้เรี่ยรายกันในคราวที่รัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรคต สมทบกับงบประมาณกระทรวง
ธรรมการ รวมเป็นเงิน 29,000 บาท สร้าง โรงเรียนเพาะช่าง ขึ้น เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ในรัชกาลที่ 5
และเพื่อว่า “วิชาช่างที่จะได้เพาะปลูกขึ้นในโรงเรียนนี้ คงจะแตกดอกออกผลงอกงามให้เปนประโยชน์แก่
ประชาชนในบ้านเมืองโดยไม่รู้สิ้นสุด” ตามนามโรงเรียนที่รัชกาลที่ 6 พระราชทานนั้น โดยในคราวที่เสด็จ
27
พระราชด าเนินทรงเปิดโรงเรียน เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2456 นั้น รัชกาลที่ 6 มีพระราชด ารัส ความตอน
หนึ่งว่า
“วิชาช่างแลฝีมือการช่าง ทั้งสองอย่างนี้ เปนเครื่องแสดงความงามแลความประณีต ซึ่งจะมีได้เปนได้
แต่ในประเทศบ้านเมืองที่สงบราบคาบ แลมีการปกครองเปนอันดี ไพร่ฟ้าประชาชนได้รับความสงบร่มเย็นเพื่อ
ประกอบการอาชีวะได้สะดวก จึงมีเวลาคิดแลบ ารุงความงามความประณีตให้เปนที่น่าสรรเสริญ . . . ความ
เจริญในวิชาช่างจึงเปนเครื่องวัดความเจริญแห่งชาติ”
65