Page 132 - kpi21595
P. 132
กับรายได้ อาทิ กรณีการ “ขายวัว” ที่ได้รับแจกมาเพื่อแลกเป็นเงินและนำมาใช้หมุนเวียนกันในกลุ่มเลี้ยงวัว
ของยายแย้ม เป็นต้น ซึ่งกรณีนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่ตรงไปตรงมาในการใช้เงินของชาวบ้าน
และ การใช้เทคนิคเพื่อให้ได้เงินจากหน่วยงานราชการผ่านการรวมกลุ่มในรูปแบบต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไข
ที่ขัดขวางต่อการสร้างสำนึกพลเมืองที่มีความตระหนักรู้และมีความกระตือรือร้นในระบอบประชาธิปไตยอย่าง
มาก
นอกจากนั้น ผลจากการศึกษายังพบอีกว่าปัญหาความยากจนนั้น ได้ผลักดันให้เกิดการเคลื่อนย้าย
ประชากรที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างสำนึกความเป็นพลเมืองแก่ประชากรในพื้นที่อย่างสำคัญ ข้อมูลจาก
สำนักงานสถิติจังหวัดร้อยเอ็ดระบุว่า ปัจจุบันประชากรในวัยแรงงานของจังหวัดร้อยเอ็ดได้อพยพออกไป
45
ทำงานนอกจังหวัดร้อยเอ็ดมากยิ่งขึ้น กล่าวคือเมื่อสิ้นสุดฤดูทำนาแล้วจำนวนวัยแรงงานซึ่งมีจำนวนกว่า 5
แสนคน มีแนวโน้มที่จะไม่ได้พำนักอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ดเมื่อหมดฤดูกาลทำนา ส่งผลให้โครงสร้างประชากรของ
จังหวัดร้อยเอ็ดส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้สูงอายุ กระทบต่อสถาบันครอบครัวให้อ่อนแอมีความเสี่ยงที่เยาวชนจะ
ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอบรมจากพ่อและแม่ที่มักอยู่ในช่วงวัยทำงานน้อยลง ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ชุมชนจะ
อ่อนแอลงเนื่องจากขาดประชากรในวัยแรงงานที่จะเป็นกำลังสำคัญให้แก่ครอบครัวและชุมชนในการหารายได้
ตลอดจนพัฒนาและแก้ไขปัญหาร่วมกันกับคนในชุมชน เรื่องนี้ สอดคล้องกับผลการศึกษาที่ผู้วิจัยได้กล่าวไว้ใน
ส่วนของปัจจัยส่วนบุคคล เรื่องอายุของประชากรว่ามีผลต่อการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเป็น
พลเมืองสู่คนในชุมชนอย่างไร กล่าวคือ ประชากรที่มีช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป มักจะประสบกับปัญหาเรื่องสุขภาพ
และการเดินทางที่ทำให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆในชุมชนได้น้อยลง ขณะที่ประชากรวัยเด็กและวัยเรียนก็
มักจะไม่ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนมากนัก
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากแบบสอบถามที่เก็บได้จำนวน 1,000 ชุดนั้นพบว่าประชากรส่วนใหญ่อยู่
ในช่วงอายุ 41-50 ปี ร้อยละ 23.5 รองลงมาคือช่วงอายุ 51-60 ปี ร้อยละ 22.7 ซึ่งเป็นวัยแรงงาน หากยึดตาม
พระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ว่าด้วยการพ้นจากตำแหน่งราชการเมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
ผู้วิจัยจึงมองว่าเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจและความยากจนอาจไม่ได้กระทบกับโครงสร้างประชากรในทันทีและ
มีความเป็นไปได้ว่าการเคลื่อนย้ายของประชากรวัยแรงงานในจังหวัดร้อยเอ็ดอาจไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายข้าม
จังหวัดเพียงอย่างเดียว แต่อาจมีลักษณะของการเดินทางไปต่างอำเภอหรือจังหวัดข้างเคียงด้วย และด้วยเหตุนี้
จึงทำให้จำนวนประชากรตัวอย่างที่เก็บข้อมูลได้อยู่ในช่วงวัยแรงงานเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ ข้อมูลจากการ
สัมภาษณ์ก็ระบุให้เห็นว่าประชากรที่อยู่ในช่วงอายุ 40-60 ปี ส่วนใหญ่จะมีอาชีพรับจ้างในอำเภอข้างเคียงหรือ
จังหวัดข้างเคียงเป็นอาชีพเสริมนอกเหนือจากการเกษตร
ดังนั้น สำหรับผู้เขียนผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการสร้างสำนึกพลเมืองนั้นไม่ได้เกิดจากการที่
โครงสร้างประชากรถูกกระทบอย่างรุนแรงกระทั่งทำให้จำนวนประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดร้อยเอ็ดเหลือแค่
เพรียงเด็กและผู้สูงอายุ แต่น่าจะเป็นเพราะว่าอิทธิพลทางเศรษฐกิจนั้นส่งผลต่อ “เวลา” ที่ผู้ปกครองจะมีให้แก่
บุตรหลานและสิ่งนี้เองที่อาจส่งผลกระทบต่อการสร้างความรู้และพฤติกรรมความเป็นพลเมืองจากรุ่นสู่รุ่นได้
45 สำนักงานสถิติจังหวัดร้อยเอ็ด. รายงานผลการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือนจังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. 2561. ร้อยเอ็ด: สำนักงานสถิติจังหวัด
ร้อยเอ็ด, 2561.
121