Page 38 - 21736_Fulltext
P. 38
17
หน้าที่ที่สำคัญของคนกลางคือทำให้คู่กรณีหรือผู้ที่มั่นใจว่าเหนือกว่าทบทวนให้ได้ว่าจะ
ชนะแน่นอนอย่างที่คิดไว้หรือไม่ การไกล่เกลี่ยอาจจะดีกว่าวิธีการอื่นที่เขาคิดเอาไว้
4) การไกล่เกลี่ยโดยคนกลางบางคนอาจจะไม่ได้เน้นที่ความสัมพันธ์อันดี แต่มุ่งเน้นให้
ทำบันทึกข้อตกลง เพื่อเป็นการสร้างผลงานให้กับผู้ไกล่เกลี่ยบางท่าน ว่าสามารถไกล่เกลี่ยได้สำเร็จ
คำถามคือปัญหายุติได้จริงๆ หรือเป็นการซุกปัญหาไว้ใต้พรม ผู้ไกล่เกลี่ยในศาล
ยุติธรรม จำนวนหนึ่งรู้สึกภูมิใจเมื่อกล่าวว่าตนเองไกล่เกลี่ยสำเร็จโดยนับจากสถิติที่ยุติเรื่องได้ แต่
ข้อตกลงที่ได้ถ้าพิจารณาลึกซึ้งลงไปจะเห็นว่าสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันระหว่างคู่กรณีได้ไม่มาก
เท่าที่ควร
5) คู่กรณีหรือผู้ที่เกี่ยวข้องความรู้สึกว่าเป็นการผูกมัด จึงไม่อยากเข้าสู่กระบวนการ
ไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง
การไม่อยากเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง เนื่องจากเห็นว่าการไกล่เกลี่ยโดย
คนกลางจะนำไปสู่ข้อตกลงร่วมกันในลักษะต่างๆ และอาจไม่มั่นใจว่าตนเองจะได้รับในสิ่งที่ต้องการ
หรือตกอยู่ในสภาพของการแพ้-ชนะ
6) คู่กรณีไม่อยากพูดคุยกับคนที่ตนเองเห็นว่าเป็นศัตรูหรือในกรณีที่มีความสัมพันธ์
แตกร้าว รวมถึง มั่นใจว่าตนเองได้เปรียบมากกว่าในการใช้วิธีการอื่นเช่น การฟ้องร้อง
Wilmot & Hocker (2007) เห็นว่าความขัดแย้งที่ขยายตัวเป็นความรุนแรง อาจไม่
เพียงพอในการใช้การไกล่เกลี่ยโดยคนกลางเท่านั้น แต่ต้องใช้กระบวนการที่ละเอียดอ่อนเข้ามา
ผสมผสานด้วยกระบวนการสร้างความสมานฉันท์ (Reconciliation) เพื่อให้เกิดการฟื้นคืนดี โดย
กระบวนการที่สำคัญคือ การทำให้คู่กรณีสำนึกรับผิดว่าได้ทำผิดไปแล้ว การแสดงความรับผิดชอบต่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการเยียวยาทั้งทางใจและสิ่งของ เงินทอง คำพูดขอโทษ การให้หลักประกันว่าจะไม่ทำ
ผิดอีกในอนาคต จากนั้นก็จะนำมาสู่การให้อภัย
7) การไม่เข้าใจในวัฒนธรรมของคนอื่นหรือเหมารวมว่าเข้าใจวัฒนธรรมฝ่ายอื่นเป็น
อย่างดี
การเหมารวมว่าเข้าใจวัฒนธรรมฝ่ายอื่นอาจเกิดการ “ตีตรา” (Stereotype) ที่
ผิดพลาดได้ เช่น เห็นคนไทยบางคนเน้นการเคารพผู้อาวุโส ก็เหมารวมว่าคนไทยทุกคนต้องเคารพใน
ผู้ใหญ่ ที่จริงอาจมีบางคนไม่ได้เป็นเช่นนั้น