Page 252 - kpiebook62016
P. 252

235







                       รัฐธรรมนูญ ไม่จ าเป็นต้องยกเลิกฉบับเก่าและร่างใหม่ทั้งฉบับ หลายประเทศแก้ไขรัฐธรรมนูญระบอบ
                       อ านาจนิยมเพื่อปูทางสู่ประชาธิปไตยได้ส าเร็จ  ถึงแม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550  และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.

                       2560 ซึ่งได้รับการร่างขึ้นมาใหม่ จะผ่านการท าประชามติ แต่กระบวนการท าประชามติทั้งสองครั้งก็ถูก

                       ตั้งค าถามจากสังคมไทยและนานาชาติอย่างมากถึงความโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่เปิดให้ทุก

                       ฝ่ายได้รณรงค์อย่างเสรี เท่าเทียม และการที่ประชาชนอาจไปใช้สิทธิโดยขาดความเข้าใจในเนื้อหาของ
                       รัฐธรรมนูญ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาความชอบธรรม การยอมรับและฉันทานุมัติทั้งต่อกระบวนการได้มา

                       และเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ


                              ในส่วนของเนื้อหารัฐธรรมนูญนั้น ในทุกการปฏิรูปการเมืองของไทย มีอย่างน้อย 4 ประเด็น

                       หลักที่ยังไม่สามารถหาฉันทามติที่เห็นพ้องได้จากทุกฝ่าย ได้แก่


                              1.1 เป้าหมายของระบบเลือกตั้ง ผลการศึกษาพบว่า ประเทศส่วนใหญ่ปฏิรูปการเมืองเพื่อ

                       ส่งเสริมให้มีการแข่งขันทางการเมืองที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่การปฎิรูประบบเลือกตั้งของไทย สลับไปมา
                       ระหว่างส่งเสริมพรรคใหญ่ และกีดกันพรรคใหญ่ มาตรการส่งเสริมพรรคใหญ่เห็นได้ชัดในรัฐธรรมนูญ

                       พ.ศ. 2540 ที่มีมาตรการกีดกันคนบางกลุ่ม เช่น ระบอบบัณฑิตยาธิปไตย หรือการใช้วุฒิการศึกษามา

                       ตั้งเป็นเกณฑ์ว่าต้องจบปริญญาตรี จึงจะลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาได้ แต่ภายหลังใน

                       รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้ยกเลิกการบังคับใช้กับผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยังคงไว้เฉพาะ
                       สมาชิกวุฒิสภาเท่านั้น ที่ส าคัญไปกว่านั้น ระบบเลือกตั้งของไทยในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 และ 2550

                       เอื้อให้พรรคการเมืองใหญ่ได้เปรียบ จากการที่พรรคใหญ่ได้รับจัดสรรที่นั่งในสภามากกว่าคะแนนเสียง

                       ที่พรรคได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดสรรที่นั่งในระบบเขตเลือกตั้ง แบบหนึ่งเขตหนึ่งคน เสียงข้าง

                       มากธรรมดา (Single-member district) เช่น ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งใน
                       ระบบเขตมากกว่าคะแนนในระบบเขตทั้งหมดที่พรรคได้รับ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 22 ที่นั่ง  ขณะที่

                       พรรคประชาธิปัตย์ขาดทุนคิดเป็น 7.45 ที่นั่ง ส่วนในระบบบัญชีรายชื่อ ทั้งพรรคไทยรักไทยและ

                       ประชาธิปัตย์ต่างได้ที่นั่งมากกว่าคะแนนเสียงที่ได้รับ กล่าวคือ ไทยรักไทยได้ 5.83 และประชาธิปัตย์ได้

                       2.78 มากกว่าคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อที่พรรคได้รับเลือก  ความไม่เป็นธรรมดังกล่าวมีชื่อว่า

                       “ความไม่สมดุลระหว่างคะแนนที่ประชาชนเลือกกับที่นั่งในสภา” (Disproportionality) ประเด็นนี้ส่งผล
                       โดยตรงต่อมุมมองต่อระบบเลือกตั้งที่เปลี่ยนไปแบบสุดโต่ง
   247   248   249   250   251   252   253   254   255   256   257