Page 19 - kpiebook65020
P. 19
v
ควรพึงระลึกไว้เสมอว่าในบางครั้งแบบจ าลองก็มีข้อจ ากัดและไม่อาจวิเคราะห์ข้อเท็จจริงออกมาได้อย่าง
7
ครบถ้วนสมบูรณ์ การใช้งานแบบจ าลองเหล่านั้นนั้นเป็นเหมือนการใช้แผนที่น าทางไปสู่จุดหมาย ความ
น่าเชื่อถือและประโยชน์ของการใช้แบบจ าลองและทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์ข้อมูลในความเป็นจริง
อย่างข้อมูลในการออกกฎหมายจึงเปรียบดังการใช้แผนที่ทีดีมาน าทางให้การออกกฎนั้นสามารถบรรลุ
เป้าประสงค์ตามที่ต้องการได้
1.3 การวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์และทางสังคม
จากการศึกษาการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์และทางสังคมในการออกกฎหมาย สามารถ
สรุปผลการศึกษาเทคนิคการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์ และเทคนิคการวิเคราะห์ผลกระทบทาง
สังคม ได้ดังต่อไปนี้
1.3.1 เทคนิคการประเมินผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์
เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถน ามาใช้ในด าเนินการในขั้นตอนการระบุและประเมิน
เพื่อเปรียบเทียบทางเลือกทางนโยบายและประกอบการตัดสินใจคัดเลือกนโยบายเพื่อแก้ปัญหาที่ส าคัญในการ
วิเคราะห์ RIA มีดังต่อไปนี้
1) การวิเคราะห์ต้นทุน Cost-Benefit Analysis (CBA) เป็นเทคนิคหนึ่งที่นิยมใช้กันในการ
ด าเนินการจัดท า RIA การใช้ CBA เริ่มต้นจากการค านวณต้นทุน (Cost) และ ประโยชน์ (Benefit) ของการ
ด าเนินการนโยบายใด ๆ นโยบายหนึ่ง จากนั้นจึงน าจ านวนต้นทุนมาเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ของแต่ละ
นโยบายเพื่อหักลบหาผลประโยชน์สุทธิ นโยบายใดที่มีผลประโยชน์สุทธิมากที่สุดหรือประโยชน์มากกว่าต้นทุน
มากที่สุดคือนโยบายที่รัฐควรด าเนินการ
2) การวิเคราะห์ราคาคุ้มทุน หรือ Break-Even Analysis (BEA) เป็นการวิเคราะห์ถึงต้นทุน
และผลประโยชน์ของแต่ละนโยบายเหมือนกับการวิเคราะห์แบบ CBA แต่แทนที่จะน าต้นทุนและผลประโยชน์
มาเปรียบเทียบกับ BEA จะเลือกนโยบายที่คุ้มต้นทุนที่สุด โดยสามารถน าไปปรับใช้ได้กับนโยบายที่มี
ผลประโยชน์ในเชิงนามธรรม เช่น ประโยชน์ในทางศีลธรรม หรือ ประโยชน์ที่ไม่สามารถค านวณออกมาเป็น
ตัวเลขได้แน่ชัด เช่น จ านวนคนตายจากการด าเนินการตามนโยบาย เป็นต้น
3) การวิเคราะห์ประสิทธิภาพต้นทุน หรือ Cost-Effectiveness Analysis (CEA) เป็นการ
ค านวณว่านโยบายทางเลือกใดสามารถบรรลุเป้าหายได้โดดีต้นทุนต่อหน่วยต่ าที่สุด CEA เป็นค านวณ
อัตราส่วนระหว่างต้นทุนและผลประโยชน์ตามสูตรการค านวณ CEA = cost (ต้นทุน) / benefit
(ผลประโยชน์) CEA นั้นคล้ายกับการวิเคราะห์ BEA รวมถึงมีข้อดีและข้อเสียที่เหมือนกัน
4) การวิเคราะห์แบบพิจารณาหลายเกณฑ์ หรือ Multi-Criteria Analysis (MCA) เป็นการ
วิเคราะห์โดยการให้คะแนนถ่วงกับข้อดีและข้อเสียจากนโยบายแต่ละนโยบายจากนั้นจึงค านวณคะแนนที่ได้ใน
แต่ละนโยบายเพื่อเปรียบเทียบกัน MCA นั้นแทบจะไม่ใช้ข้อมูลเชิงตัวเลขในการค านวณเลย ดังนั้นจึงสามารถ
น าไปปรับใช้กับนโยบายที่มีต้นทุนและผลประโยชน์ที่ค านวณออกมาเป็นตัวเลขได้ยากหรือขาดข้อมูล
5) การค านวณภาระในการปฏิบัติกฎหมาย หรือ Standard Cost Model (SCM) เป็น
พิจารณาเฉพาะต้นทุนการท าตามกฎหมาย (Compliance Cost) ของผู้ที่ต้องท าตามนโยบายดังกล่าว แล้วจึง
7 เพิ่งอ้าง, น.12.