Page 30 - kpiebook65064
P. 30
โครงการสังเคราะห์ข้อเสนอ
เพื่อเสริมสร้างการอภิบาลระบบยา
2). การปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับยาทั้งหมด
ให้ทันสมัยและมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย
จากการศึกษาพบว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบอภิบาลยามีความเสี่ยงจากความ
ล้าสมัยของกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ที่มีอายุการใช้งานนานถึง 47 ปี และมี
ข้อกำหนดเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนตำรับยาล้าสมัย เป็นต้น จากการสัมภาษณ์จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
ทุกคนเห็นตรงกันในเรื่องความล้าสมัยของพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 โดยการปรับปรุงและ
เปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ไขความเสี่ยงที่มีต่อธรรมาภิบาลของระบบอภิบาลยาจะไม่สามารถดำเนินการ
ปรับปรุงได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย
เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการแก้ไขและทบทวนกฎหมายฉบับต่าง ๆ
ควรเกิดจากการมีนโยบายแห่งชาติด้านยาที่กำหนดทิศทางระบบอภิบาลยาที่ชัดเจน เนื่องจาก
กฎหมายและระเบียบจะเป็นตัวกำหนดโครงสร้าง บทบาท อำนาจหน้าที่ และแนวทางปฏิบัติของ
องค์การและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับระบบยาว่าควรไปในทิศทางใด โดยคณะผู้วิจัยมีข้อเสนอ
แนะเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบให้สอดคล้องกับหลักนิติรัฐ (Rule of Law) ดังนี้
- ควรกำหนดกรอบเวลาการทบทวนกฎหมายและระเบียบที่ชัดเจน คือ กฎหมายและ
ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับยาส่วนใหญ่เป็นเรื่องทางเทคนิคและวิชาการ ดังนั้นเพื่อให้
กฎหมายและระเบียบมีความทันสมัยและสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง จึงสมควร
กำหนดให้กฎหมายหรือระเบียบแต่ละฉบับมีระยะเวลาของการใช้งาน เมื่อถึงเวลาหนึ่ง
แล้วควรนำมาทบทวนเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม รวมถึงกำหนดให้มีการ
ตรวจสอบติดตามผลการดำเนินการตามกรอบระยะเวลาว่าสามารถดำเนินการได้จริง
มากน้อยเท่าใดอีกด้วย ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การกำหนดข้อความเกี่ยวกับ
กรอบระยะเวลาการทบทวนกฎหมายหรือระเบียบภายในมาตราหรือข้อภายใน
กฎหมายหรือระเบียบแต่ละฉบับ หรือกำหนดให้ตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนกฎหมาย
และระเบียบเกี่ยวกับยาที่เป็นคณะทำงานถาวร ภายในคณะกรรมการพัฒนาระบบยา
แห่งชาติหรือหน่วยงานที่เป็นผู้ออกระเบียบที่เกี่ยวกับยา เป็นต้น
- ควรออกแบบระบบการมีส่วนร่วมในการออกกฎหมาย ระเบียบ และนโยบาย คือ
การกำหนดช่องทางและระดับการมีส่วนร่วมของการออกฎหมายและระเบียบ
ที่สอดคล้องกับประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายและระเบียบนั้น
โดยอนุญาตให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคมเข้ามา
มีส่วนร่วม เนื่องจากในหลายกรณีที่การออกกฎหมายและระเบียบเหล่านี้ยังขาดการมี
ส่วนร่วมและขาดการเปิดเผยถึงขั้นตอน กระบวนการ และหลักคิดสำคัญในการออก
กฎหมายหรือระเบียบเหล่านั้น ทำให้กฎหมายและระเบียบที่ออกมาบังคับใช้
ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เป็นจริงหรือเกิดข้อโต้แย้งได้เสมอ เช่น การให้สิทธิ
พิเศษแก่องค์การเภสัชกรรมในการจัดซื้อยาของสถานพยาบาลภาครัฐที่ถูกโต้แย้งจาก
ภาคเอกชน หรือการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาด้านยาที่ได้รับ
บทสรุปผู้บริหาร
สถาบันพระปกเกล้า